fbpx
Home
|
อาชญากรรม

หญิงไทยหัวใส ซุกคีตามีน 320 กก.ในหุ่นยนต์เหล็ก ส่งไต้หวัน

Featured Image

 

 

เลขาฯ ป.ป.ส. แถลงจับหญิงไทย ซุกซ่อนคีตามีน 320 กก. ใต้ฐานรองหุ่นเหล็กเตรียมส่งไต้หวัน เผยรับค่าจ้าง 1.8 แสนบาท

 

 

วันนี้(26 เม.ย. 67) พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วย นายปฤณ เมฆานันท์ ผอ.สำนักปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี กรมศุลกากร และผู้เกี่ยวข้องร่วมแถลงผลการตรวจยึดคีตามีน 320 กิโลกรัม ซุกซ่อนในฐานรองหุ่นยนต์เหล็ก เตรียมจัดส่งไปปลายทางไต้หวัน ผ่านการขนส่งทางเรือ และขยายผลจับกุมผู้ส่งชาวไทย 1 คน ในพื้นที่กรุงเทพฯ

 

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวว่า การตรวจยึดคีตามีน 320 กิโลกรัม ดังกล่าวสืบเนื่องจาก สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับ หน่วยปฏิบัติการ SITF และ เจ้าหน้าที่ตำรวจสหพันธ์ออสเตรเลีย (Australian Federal Police : AFP) ปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วม ไทย-ออสเตรเลีย ว่าด้วยความร่วมมือด้านยาเสพติดการฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติ (Taskforce Storm) โดยเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 ทางการออสเตรเลียตรวจยึดไอซ์ 108 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ในเครื่องแปรรูปอาหาร ส่งมาจากประเทศไทย

 

ซึ่ง สำนักงาน ป.ป.ส. ได้ดำเนินการสืบสวนขยายผลจนกระทั่งทราบว่า ผู้ดำเนินการจัดส่งสินค้าดังกล่าวเป็นหญิงชาวไทย จึงดำเนินการสืบสวนติดตามพฤติการณ์เรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ 24 เมษายน 2567 ทราบว่าหญิงไทยคนดังกล่าว ได้ดำเนินการจัดส่งสินค้าประเภทหุ่นยนต์เหล็ก ไปยังปลายทางประเทศไต้หวัน จึงเป็นเหตุต้องสงสัยว่าจะมีการซุกซ่อนยาเสพติดไปกับสินค้าดังกล่าว เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. จึงบูรณาการความร่วมมือกับ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กรมศุลกากร กระทรวงยุติธรรมไต้หวัน (Ministry of Justice Investigation Bureau : MJIB) ดำเนินการตรวจสอบสินค้าดังกล่าว

 

ผลการตรวจสอบพบ คีตามีน 320 กิโลกรัม ซุกซ่อนในฐานรองหุ่นยนต์เหล็ก ซึ่งค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าครั้งนี้ 180,000 บาท เจ้าหน้าที่จึงดำเนินการตรวจยึดยาเสพติดดังกล่าว และดำเนินการขยายผลสืบสวนติดตามจับกุมผู้ส่งสินค้าที่ซุกซ่อนยาเสพติดได้ ในวันที่ 25 เมษายน 2567 โดยผู้ต้องหาให้การว่าได้รับคำสั่งจากหญิงชาวลาวให้ดำเนินการจัดส่งสินค้า

 

โดยที่ผ่านมาในห้วงปี 2565 – 2567 ภายใต้โครงการความร่วมมือด้านปราบปรามและสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่ท่าเรือ (Seaport Interdiction Task Force : SITF) ได้ดำเนินการสกัดกั้นยาเสพติดที่เตรียมส่งออกไปยังประเทศที่สาม ผ่านท่าเรือพาณิชย์ โดยปริมาณยาเสพติดเป็นประเภท ไอซ์กว่า 1.8 ตัน เฮโรอีน 265 กิโลกรัม ประเทศปลายทาง คือ ออสเตรเลีย ไต้หวัน มาเลเซีย ฮ่องกง โดยในช่วงหลังพบว่าขบวนการค้ายาเสพติดใช้การลักลอบลำเลียงยาเสพติดผ่าน ท่าเรือเอกชน ท่าเรือส่วนบุคคล ในพื้นที่ภาคตะวันออก จ.จันทบุรี จ.ระยอง จ.ตราด และ จ.ฉะเชิงเทรา

 

โดยบรรทุกยาเสพติดใส่ในเรือบรรทุกสินค้า เรือประมง, เรือหางยาว, เรือสปีดโบ๊ท และลำเลียงไปส่งยังเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่จอดรออยู่บริเวณน่านน้ำสากล เพื่อลำเลียงไปยังปลายทางประเทศที่สาม เนื่องจากสามารถลำเลียงยาเสพติดได้ในปริมาณมาก และบริเวณเขตน่านน้ำสากลที่ใช้ในการขนถ่ายยาเสพติด ไม่มีอำนาจอธิปไตยและรัฐใด ๆ ควบคุม ส่งผลให้การลักลอบขนส่งยาเสพติดทางทะเลอาจมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นและเป็นสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งในห้วงปี 2565 – 2567 พบสถิติการจับกุมและตรวจยึดยาเสพติดประเภท ไอซ์กว่า 4 ตัน คีตามีนกว่า 2 ตัน

 

ทั้งนี้ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาการค้ายาเสพติดในลักษณะเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติกระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาค ลักลอบลำเลียงยาเสพติดโดยใช้ไทยเป็นทางผ่านไปยังประเทศที่สามยังพบอย่างต่อเนื่อง ทั้งผ่านการขนส่งทางพัสดุภัณฑ์ระหว่างประเทศ ผ่านการขนส่งทางอากาศ และ ซุกซ่อนในสินค้าต่างๆ ผ่านการขนส่งทางเรือ โดยสำนักงาน ป.ป.ส. มีโครงการความร่วมมือด้านปราบปรามและสกัดกั้นยาเสพติดพื้นที่ท่าอากาศยาน และ สกัดกั้นยาเสพติดพื้นที่ท่าเรือเป็นหน่วยปฏิบัติต้นทางในการสกัดกั้นการนำยาเสพติดเข้าพื้นที่ตอนใน และส่งออกไปยังประเทศที่สาม โดยปฏิบัติการที่ประสบผลสำเร็จเป็นผลจากความร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลจนนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ในการทำลายเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube