fbpx
Home
|
ข่าว

“พิธา”ตอกกลับ”เศรษฐา”จะให้ฝากแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5

Featured Image

 

 

“พิธา”ตอกกลับ”เศรษฐา”จะให้ฝากแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ต้องกางไทม์ไลน์ออกมาให้ชัดก่อน จี้บูรณาการข้อมูลหน่วยงานย้อนหลัง 5 ปี แก้ไฟไหม้พื้นที่ซ้ำซาก ลั่นอาจจะเกะกะหน้างานบ้าง แต่คุ้มค่าแน่นอน

 

 

 

 

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงเรื่องการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ว่า เมื่อวานได้อ่านข่าวนายกรัฐมนตรี เห็นว่ามีอะไรจะฝากก็ให้ฝากไปได้ จึงอยากใช้โอกาสนี้ สอบถามไทม์ไลน์ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ ซึ่ง 2-3 วันที่ผ่านมา ถ้าดูค่าอากาศ จะเห็นว่าแย่ที่สุดในโลก วันนี้ดีขึ้น ขยับเป็นอันดับ 3 แสดงว่า ยังไม่ดีขึ้น จึงอยากจะฝากถามนายกรัฐมนตรีว่าไทม์ไลน์ในการแก้ไขปัญหาฝุ่น โดยเฉพาะภาคเหนือ สัปดาห์นี้คิดว่าต้องแก้อะไร เดือนหน้า เดือนเมษายนจะเป็นเดือนที่ค่าฝุ่นสูงที่สุด หากดูสถิติจะแก้อย่างไร ปีหน้าจะแก้อย่างไร ถ้าเกิดมีไทม์ไลน์แบบนี้ ฝ่ายค้านอย่างพวกตน จึงสามารถฝากได้ เพราะถ้าไม่มีไทม์ไลน์มาให้ ก็ไม่รู้จะฝากอย่างไร รวมถึงข้าราชการและภาคประชาชน ชาวบ้านที่อยากมีส่วนร่วม

 

ดังนั้น ตนขอฝากตุ๊กตาให้นายกรัฐมนตรีว่า ตอนนี้อาจสายเกินป้องกันแล้ว คงต้องไปดูว่าสิ่งสำคัญที่อยู่ในภาวะฉุกเฉินแบบนี้ เช่น หน้ากาก N95 เครื่องฟอกอากาศราคาถูกที่ชาวบ้านเข้าถึงได้ โดยไม่ได้นำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนอาชีวะของไทย ก็มีความสามารถประกอบเองได้เยอะ เท่าที่ได้ยินมาจากปีที่แล้ว โรงเรียนเด็กเล็กและโรงพยาบาลต้องการเครื่องกรองอากาศ ซึ่งสัปดาห์นี้สามารถทำได้เลย สามารถเพิ่มสรรพกำลังของคนที่มาช่วยในการดับไฟป่าอย่างที่ตนไปมาเมื่อวาน

 

ส่วนเดือนหน้าที่ค่าฝุ่นจะสูงที่สุดในทุกปี สิ่งที่ทำได้เลย คือ นายกรัฐมนตรีลองไปดูข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี ของสถาบันพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (จิสด้า) และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) รวมถึงกรมอุตุนิยมวิทยา

 

โดยนำแผนที่ดาวเทียมมาทับซ้อนกัน 5 ปี จะรู้เลยว่าปีนี้โอกาสไฟไหม้ป่าอยู่ที่ไหนบ้าง สามารถที่จะรุกก่อน สร้างธนาคารน้ำเป็นสถานีน้ำให้เหยี่ยวไฟเข้าไปพร้อมที่จะช่วย เพราะฉะนั้นเดือนหน้าแทนที่มันจะหนัก ก็อาจจะทุเลากว่าปีที่ย้อนหลังมา เพราะสถิติมันบอกเราว่ามันไหม้ซ้ำซาก แล้วพอถึงปีหน้าก็มีเวลาแก้ไขในระยะยาวมากขึ้น

 

ทั้งนี้ เราเข้าใจข้อจำกัดทางกฎหมายและงบกลาง และเข้าใจว่าทำไมผู้ว่าราชการจังหวัด ถึงไม่ประกาศเป็นพื้นที่ฉุกเฉิน ต้องฝากนายกรัฐมนตรีลองดูว่าทำไมผู้ว่าราชการจังหวัดถึงไม่ประกาศทั้งที่รุนแรงระดับโลก หรือว่า เป็น KPI ของผู้ว่าราชการจังหวัดหรือไม่ ที่บอกว่า พอประกาศเขตฉุกเฉินแล้ว ผู้ว่าฯ ไม่กล้าที่จะใช้หรือเปล่า แต่ขอจบตรงนี้ว่า ข้าราชการที่นี่ รวมถึง สิ่งที่คนเล่าให้ฟังว่าผู้ว่าฯ ที่อยู่แถวนี้ ก็ทำงานดึกทุกวัน เพื่อที่จะช่วยกันทำให้ไฟป่าดับ แต่มันเกาไม่ถูกที่คัน อย่างน้อยถ้ายังแก้ไม่ได้ ก็ต้องมาไล่ว่าตอนนี้ทำอะไร เดือนหน้าทำอะไร ปีหน้าทำอะไร รับรองได้ว่ามันจะผ่อนหนักเป็นเบา

 

ขณะเดียวกัน ถ้าจะพูดกับนายกรัฐมนตรีตรงๆ มันคือปัญหาโลจิสติกส์ ไม่ได้เป็นปัญหาทางเทคนิค จะเป็นปัญหาการลำเลียงน้ำ การลำเลียงคนดับไฟป่าให้ถึงจุด มันคือการที่เข้าใจรูปแบบของไฟ แล้วมี Economies of Speed ไปให้ถึงก่อนที่ไฟจะลาม กับ Economies of Scale คือ การขยายทีมในการแก้ไขให้ครบทุกจุดในเวลาที่พร้อมกัน เมื่อเสาร์แก้ปัญหานี้ได้จะกลายเป็นเศรษฐกิจในการแก้ไขปัญหาไฟป่าที่เอาไปทำต่อในประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศที่มีปัญหาแบบนี้ได้ เราจะกลายเป็นมหาอำนาจในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ เหมือนที่หลายประเทศแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้ ก็เอามาขายประเทศไทย

 

ขณะที่นายกรัฐมนตรีและโฆษกรัฐบาลออกมาชี้แจงว่า มีการใช้งบกลางในการแก้ไขปัญหาแล้ว มีเป็นมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ออกมาด้วย นายพิธา กล่าวว่า อย่างนี้เรื่อง พ.ร.บ.การเกิดภัยพิบัติก็ไม่ต้องมี ก็เป็นดุลยพินิจว่าจะใช้ได้หรือไม่ได้ แล้วความแตกต่างระหว่างสถานการณ์ปกติกับสถานการณ์ฉุกเฉินมันมีความแตกต่างกัน ซึ่งสถานการณ์ก็ไม่คลี่คลายลง

 

นายพิธา ยังกล่าวอีกว่า งบกลางมี 2 แบบ อย่างของ พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตนเข้าใจว่ามีการผ่านงบร้อยกว่าล้านบาท เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีการให้ท้องถิ่นเข้ามาร่วมด้วย แต่มันก็สายเกินไปแล้ว กว่าจะเบิกจ่าย กว่าจะเอาไปใช้ และไม่ทราบว่าได้อุปกรณ์ที่ถูกต้องหรือไม่ กลับอีกก้อนหนึ่งที่เป็นงบกลาง ในส่วนของภัยพิบัติโดยเฉพาะให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนำมาใช้ได้ พวกเราที่อยู่ในที่นี้ตนเชื่อว่าสามารถเข้าถึงได้ แต่พี่น้องที่อยู่สถานเด็กเล็กเชียงดาวเข้าไม่ถึง

 

ส่วนการลงพื้นที่เมื่อวานนี้ทางกองโฆษกรัฐบาล ออกมาตอบโต้ว่าเป็นการรบกวนคนหน้างาน หรือมีการใช้คำว่า “มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” นายพิธา ระบุว่า 10 ปากว่าไม่เท่าตาเห็น ในหน้าที่ของ สส. มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล เพราะฉะนั้นส่วนที่มาดับไฟ ก็มีส่วนช่วยในการที่ทำให้ตนทำงานได้ดีขึ้น ได้เห็นหน้างานที่ชัดเจน และรบกวนเวลาน้อยที่สุด ใช้เวลาสั้นที่สุด เวลาที่เหยี่ยวไฟมาของบ ก็จะใจเขาใจเรามากขึ้น นายพิธา กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ทำ อาจจะเกะกะเล็กน้อย แต่เชื่อว่าสิ่งที่เจ้าหน้าที่จะได้รับกลับไปคุ้มค่าแน่นอน

 

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube