Home
|
บันเทิงไทย

ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับใจของตัวเอง!”ปอยฝ้าย” รับยอมแพ้ให้ใจหลายต่อหลายครั้ง

Featured Image
ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับใจของตัวเอง !! ปอยฝ้าย รับยอมแพ้ให้ใจหลายต่อหลายครั้งหลังเข้าบำบัดอาการติดแอลกอฮอล์ แต่เพราะได้ภรรยาดีอยู่เคียงข้างถึงสู้จนชนะใจ

 

 

เมื่อ ปอยฝ้าย มาลัยพร ได้มาเปิดเรื่องราวในชีวิตพร้อม ภรรยาสุดที่รัก มัย วิภานัท ในรายการ Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 ได้เผยทุกช่วงเวลาของชีวิตที่กว่าจะเดินตามฝันจนสำเร็จ แต่ก็เกือบก้าวพลาดเพราะอาการแอลกอฮอล์ลิซึ่ม รับยอมแพ้ให้ใจหลายต่อหลายครั้ง หลังเข้าบำบัดอาการติดแอลกอฮอล์ แต่เพราะได้ภรรยาดีอยู่เคียงข้างถึงสู้จนชนะใจ

ถาม เห็นว่าพูดประชด แม่นกน้อย บนเวทีเลยใช่ไหมเอ่ย ??
ปอยฝ้าย : ในช่วงนั้นก็น้อยใจทำไมผมรักคนนี้ !! มีพูดบนเวทีด้วยช่วงนั้นงานมันเร่งมาก ตลก 2 เดือนอัดชุดหนึ่ง คำว่า ตลก กว่าจะลงตัวมันเครียดถ้าเล่นแล้วมันไม่ขำช่วงนั้นมี CD อัดเร่งขาย เร่งขายมากจนทำให้เราน้อยใจว่า เอ๊ะ !! เราทำเพื่อใครผมจับไมค์บนเวทีด้วยเมา ทำอะไรตั้งใจอะไรขนาดนั้นทำให้ใครได้ดี จนเรามาพูดอันนี้หลังไมค์กับแม่อีกครั้งนะครับ ผมทำให้แม่นกน้อย ร้องไห้ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่สบายใจอยู่ คือ คำนั้นผมก็บอกว่าแม่รักผมรักในนามธุรกิจ ถ้าผมทำประโยชน์ให้แม่ไม่ได้แม่คงไม่รักผมหลอก แต่ก็ขอโทษท่านแล้วครับ

ถาม ขอถามถึงเรื่องเพลงบ้างอย่างเพลง จังซี่มันต้องถอน ฟังดูเหมือนคนเมาตอนอยู่บทเวทีเมาจริงหรือเมาเล่น
ปอยฝ้าย : เมาจริงครับ ผมชอบอะไรที่ทำจริงครับ มันจริงดี จริงๆสำหรับเพลงนี้เมาตั้งแต่ตอนอัดเสียงแล้วครับ คือ มันเป็นเพลงสุดท้ายที่ทำใส่อัลบั้มก็จะมี 10-12 เพลง เพลงนี้เป็นเพลงแถมเราก็รู้สึกว่าอัดเพลงแล้วมันเหนื่อยก็เลยดื่มสักหน่อยนายห้างไม่มาก็แอบทีแรกก็ไหว้พระพิฆเนศนั่นแหละไปเอาเหล้ามาดื่มสาธุให้ลูกขอด้วยนะ ขอบารมีกรี๊บแล้งมันทรงสนุกไปเอามาอีกประมาณนี้ คนดูรู้ไหมว่าเราเมาบางคนรู้เลย ถามว่ามีคนเตือนเราไหมก็พอลึกๆเข้ามาหลายๆปีเข้ามาค่อยเตือนแต่ไม่ทันแล้วครับ เพราะว่ามันลึกแล้วมันเกิดความผูกพันกับแอลกอฮอล์แบบเวลาเราจะขึ้นเวทีไม่รู้ทำไมสมองมันจะสั่งให้ไปเอามาดื่ม บางครั้งอินโทรขึ้นแล้วนะในใจนับวินาทีได้เลยนะ เราต้องเปิดแล้วดื่มรู้แม้กระทั่งจังหวะยก ดื่มแล้วลงแล้วจังหวะจับไมค์พอดี งึกงึกงักงัก อย่างนี้เลยนะ ถึงขั้นเสียงานเลยครับ เราก็หลงๆลืมๆเนื้อเพลงตอนนั้นคือ หนักๆเลยครับ ตาเหลือง ตัวเหลือง เหลืองทั้งตัวตับอักเสบปกติค่าของตับอยู่ที่ 40-45 อันนี้ผมไป 4,000 กว่าขนาดให้น้ำเกลือนะเพราะร่างกายขาดน้ำตาล กระปุกน้ำเกลือก็ถืออยู่แต่ในเป้าคือพกเหล้าไว้ด้วย

ถาม จนกระทั่งครั้งหนึ่ง คุณแม่นกน้อย ต้องโทรตามผู้หญิงที่เคยจะดูแลเราได้ คือต้องโทรตามมาเลยว่าช่วยดูแลหน่อย
ปอยฝ้าย : ใช่ครับ

ถาม ซึ่งก็คือ ภรรยา ปัจจุบันนี้ คือ แฟนคนแรกของ พี่ปอยฝ้าย เลยไหม
ปอยฝ้าย : ใช่ครับ

ถาม เจอกันอย่างไรเอ่ย
ปอยฝ้าย : ก็หน้าเวทีครับ เขามานั่งดูเราหน้าเวทีเป็นคนดู เป็นแฟนคลับ เราก็มองลงไปเอ๊ะ !! คนนี้ ทำไมสวยกว่าเพื่อน เขาสวย เขาเอาดอกไม้มาให้ด้วย เขามีแบงก์พันติดมาด้วย แบงก์พันนี่แหละเป็นเหตุ คือ สัญชาตญาณเนอะเราก็มาหาเงินเนอะพูดตรงๆเนอะมาหาเงินไม่มองเงินเนี่ยตัวปัจจัยสำคัญ คนเอาเงินมาให้ก็สวยด้วยมันก็ยิ่งได้เงินแล้ว ทำอย่างไรจะได้รู้จักกับคนนี้ให้มากขึ้นกว่าเดิม ก็ให้พิธีกรรุ่นพ่อที่เล่นตลกด้วยกันเขาไปขอเบอร์ให้ผมหน่อย ทั้งๆที่ตัวเองไม่มีโทรศัพท์ถือนะช่วงนั้น เพราะว่าแม่นกไม่ให้ถือกลัวใจแตก แต่เอาเบอร์มาก่อนครับ ก็ยิมโทรศัพท์คนนั้นก่อน ถามว่าแม่นกน้อย รู้ไหมว่าเริ่มมีความสัมพันธ์กับแฟนคลับ ก็พอรู้ๆครับ แต่ยังไม่อะไรแต่ก็สอบถามอยู่ ระวังตัวนะก็ห้ามๆอยู่

ถาม แต่ก็ยังไม่ทันที่จะได้แบบว่ามีความชัดเจนว่าจีบคนนี้เป็นแฟนอะไรอย่างไร คือ คุยๆกันไปไม่นานปรากฎว่าเราไปมีคนใหม่
ปอยฝ้าย : (ยิ้ม) เราก็ยังไม่ได้ขานขาดให้ใครเราก็มอง เราก็มีสิทธิ์อยู่สิทธิ์เลือกก็มีมาสาวๆ 15-17 ปี ก็จีบมันก็ลงสภาพเดิมก็คือไปกันไม่ได้หนึ่งเราไม่มีเวลาให้เขา เขาไม่ทน มีผมรักด้วยนะบางคนผมเข้าไปบ้านนะครับจะไปจีบเขา แต่สรุปไม่ได้ไปจีบเขานะ ไปกินหล้ากับพ่อกับแม่เขากับญาติเขา เพราะว่าญาติเขาก็ชวนไปร้องไปรำมันก็จะเป็นลักษณะนี้

ถาม ในความที่เราดังมากๆตอนนั้นมันมีบางมุมเหมือนกันที่ พี่ปอยฝ้าย น้อยใจว่าทำไมมันเหนื่อยขนาดนี้มีแฟนก็ไม่ได้ก็เลยกลายเป็นการประชด
ปอยฝ้าย : มีครับมี คือ นานๆปีเข้าพอเราคิดว่าวัยเราโอเคในช่วงนั้น ช่วงเราเข้าวงใหม่ๆ 5-10 ปี มาเราไม่ว่า แต่ทีนี้พออายุเรามากขึ้นเหมือนเราอยากจะมีสักคนหนึ่ง ซึ่งอยากให้ผู้ใหญ่เห็นรับรู้ด้วยแต่ทีนี้ผู้ใหญ่ก็เหมือนไม่รับรู้ มีแต่ห้ามเรา .. อย่าไปนะ คือ อย่างผมไปเล่นบ้านเขากลางวันผู้ใหญ่ก็โทรตามกลับมาลูกกลับมาอย่าไปทำอะไรอย่างนั้น คือ ตอนนั้นชื่อเสียงเรามันก็เข้าใจผู้ใหญ่นะ แต่นาทีตรงนั้นผมไม่เข้าใจ คือ ผมมาเข้าใจในปัจจุบันครับ

ถาม แต่ก็พา พี่ปอยฝ้าย ไปบำบัด ??
ปอยฝ้าย : ไปค่ะ แต่ไม่เต็มใจ ไปบำบัดประมาณ 45 วัน ลาวงไปบำบัดเพราะถึงอยู่ก็เล่นไม่ได้เต็มที่ตรงนั้นเราเลยต้องลาไปค่ะ

ถาม ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรบ้างเพราะว่าความฝันตั้งชีวิตของเรา เราอุตส่าห์เดินมาได้แบบจนถึงขนาดนี้แล้ว ในวันที่ไปลากับวงจะลาชั่วคราวหรืออะไรก็ตามแต่
ปอยฝ้าย : ลึกๆก็ใจหายนะครับ เพราะว่าเราอยู่มา 20 ปี เราใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนอยู่กับวงเย็นมาเราก็ได้ยินเสียงเทสต์กีตาร์ เสียงกลอง ทีนี้เราไปรักษาพอมองเวลาเวลานี้เราต้องเตรียมตัวแล้ว เวลานี้เราดื่มแล้วนี่ (หัวเราะ) เวลานี้เราร้องเพลงแล้วนี่ มันก็เตือนเข้ามามันก็รู้สึกใจหายครับ น้ำตาของเราก็ไหลเลยมันคิดสับสนในตัวเอง ที่ว่าอุตส่าห์สร้างชื่อเสียงมาขนาดนี้แล้วเราจะตายเพราะเหล้าเหรอ ผมคิดนะไม่ใช่ผมไม่คิดบางครั้งหน้าเวทีร้องเพลงอยู่ผมก็ร้องไห้ไปด้วยสมเพชตัวเอง อย่างแฟนคลับมาจับมือเราสิ่งที่คนอื่นรักเราแต่เราทำไมกับทำตัวเองอย่างนี้ รู้ตัวเองอยู่ว่าตัวเองเป็นอย่างไร

ถาม ตอนไปบำบัดก็ไม่ใช่ครั้งเดียว ทั้งๆที่คิดได้แต่ก็กลับไปบำบัดอีก อะไรความรู้สึกมันเป็นอย่างไรที่มันดึงเรากลับไปอีกได้
ปอยฝ้าย : พอมันเหมือนสำนึกได้พอเราหยุดได้ อาทิตย์สองอาทิตย์ พอร่างกายเราดีขึ้นฟื้นขึ้น เราก็ต้องกินแบบใหม่สิเราต้องเปลี่ยนการดื่มใหม่ อย่าดื่มเพรียวมันมาอย่างนี้จริงๆครับ วันแรกเอาอยู่ครับ ไม่มีอาการใครก็จับไม่ได้ก็ได้ใจวันหลังเอาอีกเพิ่มปริมาณไปเรื่อยๆสูงสุดก็เหล้าเหมือนเดิม เป็นแบบนั้นหลายรอบมากจุดจบก็คือ โรงพยาบาล

ถาม เข้าใจเลยว่าทำไม พี่มัย ถึงท้อ เหมือนเราพยายามนำพาไปสู่สิ่งที่ดีแล้ว
ปอยฝ้าย : ใช่ค่ะ

ถาม เรามาอยู่ข้างๆเขาในวันที่เขาเป็นแบบนี้ เคยถามตัวเองไหมว่าเรามาทำอะไร เพราะตอนมาวุ่นวายมากเลย เดี๋ยวก็เข้าออกโรงพยาบาลตัวเหลืองไม่ได้อยู่ในสภาพดี พาเขาไปสู่ในสิ่งที่ดีแล้ว 45 วัน บำบัดเสร็จปั๊บกลับมาไปคิดวิธีการดื่มใหม่
มัย วิภานัท : ใช่ค่ะ

 

ถาม อีกด้านหนึ่งเอาจริงๆ พี่มัย ช่วงที่เขาดังๆช่วงที่เขาดีๆกลับเป็นช่วงที่เราไม่ได้อยู่กับ พี่ปอยฝ้าย แต่ช่วงที่ พี่มัย ได้รับสิทธิ์จาก แม่นกน้อย โทรตามมา พี่มัย กลับกลายเป็นมาอยู่ข้างๆเขาตอนที่ พี่ปอยฝ้าย สภาพแบบนี้มีความรู้สึกอะไรไหมว่าเรามาทำไมอยู่?? เห็นบอกว่าต้องดูแลเยอะมากต้องดูแลขนาดไหนเอ่ย
มัย วิภานัท : (ยิ้ม) เหมือนลูกเลยค่ะ
ปอยฝ้าย : ผมแบบไม่ไหว ผมแบบว่าแฮงค์งานจะไปเย็นนี้แล้ว ต้องปลุกผมขึ้นมาแล้วผูกรองเท้าให้ รีดเสื้อผ้าให้ใส่กางเกงให้ผมยืนไม่ได้
มัย วิภานัท : คือ ปกติ มัย เป็นคนดูแลบ้านทุกอย่าง แล้วก็ดูแลเขาอยู่แล้ว เสื้อผ้าหน้าผมทุกอย่างอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นก็คือทำแบบนั้นอยู่แล้ว แต่ว่าตอนที่เขาเมามากๆเนี่ย เขาก็คือแบบจะไปงานอยู่แล้วเย็นนี้คือ เขาไม่ไหวแล้วเราก็ต้องที่รักมา ค่อยๆพูด พูดเยอะก็ไม่ได้เขาเป็นคนขี่น้อยใจค่ะ เอาถุงเท้า เอากางเกง เอาเสื้อผ้าเน็กไท มาใส่ให้ เราก็ร้องไห้ไปน้ำตาก็ไหลแล้วเขาก็นอน กว่าจะไปได้คือทุลักทุเลมากเป็นอย่างนี้หลายๆงาน
ปอยฝ้าย : ไปวัดป่าวัดอะไรไปหมดไปไหว้พระประธาน 5-7 วันมีอันเป็นไปก็พูดแล้ว แต่พอพูดพอแฟนกลับไปผมก็มาพูดกับพระประธานว่า .. เมื่อกี้พูดเล่นนะครับ จริงเพราะกลัวตายไง คือ ลูกมาเพราะสถานการณ์บังคับลูก คือ ผู้ใหญ่และภรรยา หรือ ครอบครัวเขาไม่สบายใจเลยพาลูกมา ลูกมาให้อะไรมันเย็นๆขึ้น นี่ถ้าจะตายอย่าให้ผมตายเด้อ อย่าให้เป็นอะไรเด้อ ผมก็พูดไปตามสไตล์ผม ผมว่าพระท่านคงรู้ คือผมไม่ได้โกหกนะ ผมโกหกภรรยา แต่ผมไม่ได้โกหกท่าน ไม่บาปมาก คติผมนะ ถึงรู้ก็อยากให้เห็น ถึงเห็นก็อย่ารับ ถึงรับก็รับครึ่งเดียว (หัวเราะ)
ปอยฝ้าย : ที่จริงเราเป็นอย่างนั้น ในความรู้สึกของผมผมคิดว่าผมเอาตังรอดได้ ยังไงเราก็ไปงานได้ ซึ่งก่อนขึ้นเวทีเราต้องได้ ขนาดให้น้ำเกลือมันจะช็อกร่างกายขาดน้ำตาลกระปุกน้ำเกลือก็ถืออยู่อย่างนี้ แต่ในเป้าก็พกเหล้า เพราะว่ามันมีงานตอนกลางคืนเราก็ต้องขับเคลื่อน นาทีนั้นเหมือนเราเป็นหมอเรารักษาตัวเอง เพราะถ้าไม่มีงานเราไม่แตะก็ได้แต่มีงานเราเลยต้องใช้มันขับเคลื่อน แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทำให้เราคิดได้ แต่ก่อนหน้านี้เราก็คิดมาเรื่อยๆอยู่ว่าเราจะตั้งใจจริงๆ เราตั้งใจหาหมอบำบัดโดยตรง

ถาม คราวนี้เหมือนฟางเส้นสุดท้ายแล้วทุกอย่างกำลังจะไม่เหลืออะไรจริงๆแล้ว
ปอยฝ้าย : ผมก็คืออนาคตของเราแล้วบ้านที่เราเพิ่งซื้อใหม่ๆมันประดังเข้ามา ตอนนั้นที่เริ่มไม่ไหวคือ อาเจียนเป็นเลือด
มัย วิภานัท : ครั้งนั้นที่หนักสุดเรากำลังจะพาไปโรงพยาบาลเขาบอกเราที่รักทีนี้เอาจริงนะจะพาไปไหนก็ไปพาไปรักษาที่ไหนก็ไปยอมแลงแล้วซึ่งไม่เหมือนทุกครั้งที่เขาพูดเราก็จอดรถข้างทางแล้วกอดเขาจริงนะๆ เราเลยพาเขาไปบำบัดที่ ศูนย์ธัญญารักษ์ ค่ะ
ปอยฝ้าย : จากวันนั้นที่หยุดได้และผมก็ไม่ได้แตะอีกเลยครับ 4 ปีแล้วครับ ภรรยาของผมโบราณเปรียบเขาว่าผู้หญิง 3 ม. เป็นทั้งหมอ ทั้งเมีย และ แม่ ทั้งชีวิตของผมถ้าดีใจมากที่ได้เขามาเป็นแม่ศรีเรือนน่ารักมาก

ถาม คนมองว่า พี่ปอยฝ้าย เหมือนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 แต่ปรากฏว่าคนที่พูดว่าตัวเองเหมือนถูกรางวัลที่ 1 กลับเป็น พี่มัย
มัย วิภานัท : ใช่ค่ะ ก่อนหน้านั้นมันมีแต่ความทุกข์นะคะ แต่พอเขาเป็นอย่างนี้เลิกได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เราบอกเพื่อนเลยว่าเหมือนตัวเองถูกรางวัลที่ 1 ความทุกข์อะไรที่จะเกิดขึ้นคงไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว ต่อไปวันนี้ หรือวันข้างหน้ามันคงเป็นเรื่องเล็กๆแล้วค่ะ ถามว่าตอนนี้คุ้มค่ากับการรอคอยไหม คุ้มค่ามากเลยค่ะ ขอบคุณที่ยังกลับมาได้ แล้วก็ทำให้เห็นคุณเก่งที่สุดตอนนี้
ปอยฝ้าย : เขาก็เป็นเหมือนส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา

สามารถชมคลิป ย้อนหลัง ได้ในรายการ CLUB FRIDAY SHOW ผลิตโดย CHANGE2561 ทางยูทูป :



 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

 

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

 

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube