fbpx
Home
|
อาชญากรรม

ตำรวจไซเบอร์แจงดำเนินคดีกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์

Featured Image
ตำรวจไซเบอร์ ชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ความเสียหายรวมกว่า 150 ล้านบาท

 

 

 

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. ขอเรียนชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ได้หลอกลวงผู้เสียหายหลายราย สร้างความเสียหายเป็นจำนวนมาก

 

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อประมาณเดือน ต.ค. 65 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ได้แอบอ้างเป็น ผกก.สภ.เมืองเชียงราย ร่วมกันกับพวกก่อเหตุโทรศัพท์ไปหลอกลวงประชาชนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นคดีหลอกลวงนักลงทุนหุ้น ความเสียหายกว่า 41 ล้านบาท หรือคดีหลอกลวงแพทย์ในจังหวัดชุมพร ความเสียหายกว่า 101 ล้านบาท นั้น

 

จากการสืบสวนสอบสวนขยายผลพบว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวได้แบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน โดยพนักงานคอลเซ็นเตอร์สายที่ 1 ทำหน้ารอรับโทรศัพท์จากระบบคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ เมื่อผู้เสียหายกดหมายเลขเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ จะเริ่มทำการพูดคุยแสดงตัวเป็นพนักงานบริษัทขนส่งแห่งหนึ่ง แจ้งผู้เสียหายว่าได้ส่งพัสดุที่มีสิ่งของผิดกฎหมายไปยังปลายทาง เช่น บัตรเอทีเอ็ม สมุดบัญชีธนาคาร ยาเสพติด เป็นต้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย แนะนำให้รีบติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

 

 

ซึ่งเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์สายที่ 2 แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจทำหน้าที่รับแจ้งความ สอบถามข้อมูลจากผู้เสียหาย จากนั้นได้ให้ผู้เสียหายติดต่อกับบัญชีไลน์ปลอมชื่อ สภ.เมืองเชียงราย พูดคุยหว่านล้อมให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฟอกเงิน ต่อมาได้ให้ผู้เสียหายติดต่อกับ ผู้ต้องหาซึ่งเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์สายที่ 3 แอบอ้างเป็น ผกก.สภ.เมืองเชียงราย ทำหน้าที่พูดคุย ข่มขู่ให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวว่าจะถูกดำเนินคดี และให้โอนเงินที่มีอยู่ในบัญชีมาตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ กระทั่งผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปให้

 

 

นอกจากนี้ยังพบว่ามีนายทุนชาวต่างชาติ ทำหน้าที่สั่งการ ควบคุม จ่ายเงินค่าจ้าง, หัวหน้ากลุ่มทำหน้าที่ควบคุมความเรียบร้อยของกลุ่ม คอยช่วยเหลือพนักงานคอลเซ็นเตอร์, พนักงานหลังบ้าน หรือช่างเทคนิคดูแลระบบโทรศัพท์, พนักงานออกหมายศาล ทำหน้าที่ให้มีชื่อของเหยื่อปรากฏในเอกสารปลอม, ล่ามทำหน้าที่แปลตามที่นายทุนสั่ง รวมถึงผู้ทำหน้าที่จัดหาคนทำมางานคอลเซ็นเตอร์ หรือเปิดบัญชีธนาคาร เป็นต้น

 

 

กระทั่ง พงส.บช.สอท. ได้ทำการสืบสวนสอบรวบรวมรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ มีการขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาในข้อหา ” ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน

 

 

หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน ” ในคดีหลอกลวงนักลงทุนหุ้น มีการออกหมายจับผู้ต้องหากว่า 60 ราย จับกุมได้แล้ว 5 ราย ที่เหลือยังอยู่ระหว่างหลบหนี ส่วนในคดีหลอกลวงแพทย์ในจังหวัดชุมพร มีการออกหมายจับผู้ต้องหากว่า 21 ราย จับกุมได้ 11 ราย อีก 10 ราย อยู่ระหว่างหลบหนีติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี

 

 

กระทั่งเมื่อระหว่างเดือน ม.ค. – ก.พ.66 ที่ผ่านมา พงส. สังกัด บก.สอท.1 และ บก.สอท.5 ได้สรุปสำนวนการสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดไปยังพนักงานอัยการ เพื่อพิจารณาดำเนินในส่วนที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายต่อไปแล้ว ทั้งนี้หากมีการจับตัวผู้ต้องหาที่หลบหนีได้เพิ่มเติม พงส.ก็จะดำเนินการสอบสวนปากดำผู้ต้องหาดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

 

 

โฆษก บช.สอท. กล่าวย้ำอีกว่า บช.สอท. จะเร่งดำเนินดดีกับผู้กระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวทุกราย ขอให้มิจฉาชีพผู้ที่ยังกระทำความผิดหลอกลวงประชาชน อยู่หยุดการกระทำดังกล่าว หยุดซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน เพราะสุดท้ายแล้วจะต้องถูกจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

 

 

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube