fbpx
Home
|
ข่าว

“พิสิฐ-ปชป.”เสียดายงบฯแจกดิจิทัล1หมื่น ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

Featured Image
“พิสิฐ-ปชป.” เสียดายงบฯแจกดิจิทัล 1 หมื่นอายุ 16 ปีขึ้นไป เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำโดยใช่เหตุ ห่วงแนวทางชดเชยทางการคลังไม่ชัดเจน ไม่เชื่อ5.6แสนล้านที่จะแจกอยู่ในงบฯ 67

 

 

 

 

 

นายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบาย พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนโยบายเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาทของรัฐบาล ที่จะแจกให้กับประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปว่า รู้สึกเสียดายงบประมาณดังกล่าว ที่จะต้องใช้กว่า 560,000 ล้านบาท เพราะหากนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ยากจน 10 ล้านคน หรือประมาณ 100,000 ล้านบาท ตนก็พอรับได้ แต่หากจะนำไปแจกให้กับประชาชน ทั้งที่มีฐานะร่ำรวย หรือชนชั้นกลางด้วย จะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำโดยใช่เหตุ เพราะรัฐบาลสามารถนำเงินดังกล่าวไปทำประโยชน์ให้กับประเทศ สร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ ได้มากมาย เช่น การสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ ด้วยงบประมาณเพียง 400,000 กว่าล้านบาทเท่านั้น และตนเองก็เห็นด้วยกับนักวิชาการที่ออกมาคัดค้านว่า เป็นการใช้เงินที่ไม่เหมาะสม

 

 

 

 

 

ขณะเดียวกัน นายพิสิฐ ยังแสดงความกังวลต่อการชดเชยทางการคลังต่อนโยบายดังกล่าว ที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังทั้ง 2 คน จะนำรายได้การจัดเก็บภาษีของรัฐบาลที่สูงกว่าเป้าหมายมาใช้ โดยในทางปฏิบัติงบประมาณที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บได้เกินเป้านั้น ได้เป็นเงินคงคลังของประเทศแล้ว ดังนั้น หากรัฐบาลจะใช้เงินดังกล่าว ก็จะเป็นการเบียดบังเงินคงคลังของประเทศ หรือการจะใช้เงินจากธนาคารออมสิน เงินดังกล่าว ก็เป็นเงินของเด็กนักเรียน ที่มีการส่งเสริมให้ประชาชนออมเงิน แต่รัฐบาลกลับเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี นำเงินไปแจกเพื่อการบริโภค จึงเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกัน นำเงินออมมาผลาญ สร้างหนี้สาธารณะ ที่อนาคตประชาชนจะต้องจ่ายภาษีคืนรัฐบาล ทำให้แนวทางการชดเชยดุลของรัฐบาล จึงยังไม่ชัดเจน

 

 

 

 

 

ทั้งนี้ ส่วนตัวไม่เชื่อที่รัฐบาล ตั้งเป้าจะขาดดุลไม่เกินราว 690,000-700,000 ล้านบาท เพราะไม่เชื่อว่า งบประมาณ 560,000 ล้านบาทที่รัฐบาลจะนำมาแจกประชาชน จะเป็นส่วนนึ่งของงบประมาณปี 2567 เพราะไม่สามารถตัดงบรายจ่าย เพื่อมาใช้กับนโยบายนี้ได้ เนื่องจากเงินดังกล่าว จะต้องมีที่มา เพื่อชดเชยการขาดดุลของประเทศด้วย

 

 

 

 

 

 

ทั้งนี้ ส่วนตัวไม่เชื่อที่รัฐบาล ตั้งเป้าจะขาดดุลไม่เกินราว 690,000-700,000 ล้านบาท เพราะไม่เชื่อว่า งบประมาณ 560,000 ล้านบาทที่รัฐบาลจะนำมาแจกประชาชน จะเป็นส่วนนึ่งของงบประมาณปี 2567 เพราะไม่สามารถตัดงบรายจ่าย เพื่อมาใช้กับนโยบายนี้ได้ เนื่องจากเงินดังกล่าว จะต้องมีที่มา เพื่อชดเชยการขาดดุลของประเทศด้วย

 

 

 

 

 

ส่วนงบประมาณนอกงบประมาณ ก็มีการใช้กับการลงทุน เพื่อประโยชน์ต่อการเงินของประเทศ หากนำมาใช้ผลาญเล่น ก็จะกระทบต่อระบบการเงินของประเทศ ดังนั้น จึงไม่เชื่อว่ารัฐบาล จะกล้าเสี่ยงนำอนาคตของตนเองมาทำนโยบายดังกล่าว เพราะองค์กรอิสระหลายองค์กร ได้ตั้งกรรมการเตรียมตรวจสอบนโยบายดังกล่าวแล้ว

 

 

 

 

 

นอกจากนี้ ยังไม่มีรัฐบาลในประเทศใด ใช้เงินดิจิทัล หรือแม้แต่ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา ก็ยังประกาศไม่ยุ่งเกี่ยวกับเงินคริปโตเคอเรนซี่ทั้งสิ้น เนื่องจากมีความไม่โปร่งใส มีการโกงได้ จึงยังเป็นข้อกังขาที่รัฐบาล จะนำรูปแบบดังกล่าวมาใช้ รวมถึงพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย ก็บัญญัติไว้ชัดเจนว่า การออกเงินตรา เป็นอำนาจหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย เว่นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่รัฐมนตรีฯ ก็จะต้องมีเหตุมีผลในการอนุญาตออกรูปแบบเงินตรา เพราะหากมีการจัดทำเงินดิจิทัลปลอมขึ้นมา ก็จะต้องมีผู้รับผิดชอบ จึงขอให้นักกฎหมายไปพิจารณาให้ดี และเชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยเอง ก็จะไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลยืนยันจะคงเดินหน้านโยบายดังกล่าว จะเป็นการซ้ำรอยนโยบายรับจำนำข้าวหรือไม่ เนื่องจาก มีนักวิชาการ และนักการเมืองออกมาเตือนจะเป็นหายยนะทางการเงินของประเทศนั้น อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า หุ้นที่ตกลงมา ก็สะท้อนความรู้สึกของนักลงทุนแล้ว จึงไม่มั่นใจว่า รัฐบาลได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวรอบคอบแล้วหรือไม่ และตนเองก็ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ 100% แต่เห็นด้วยกับการช่วยเหลือคนจน ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องแจกเงินให้กับประชาชนทุกคน และการดูแลคนจน ก็สามารถแบ่งสัดส่วนได้ เช่น 10 ล้านคน เป็นต้น

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube