fbpx
Home
|
ทั่วไป

ต้องรู้!! ระดับสีผู้ป่วยโควิด กลุ่มไหนส่งรักษาที่ไหน เช็คเลย

Featured Image

          จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ยังคงรุนแรง หลายรายที่ยังคงรอเตียงอยู่ในที่พัก จนเกิดความสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ใช้เกณฑ์อะไรในการเลือกรับผู้ป่วยเข้ารับการรักษา และมีกลุ่มไหนบ้างที่ต้องเร่งรีบนำส่งให้ถึงมือแพทย์ กลุ่มไหนที่ยังสามารถรอก่อนได้ แล้วหากเราติดเชื้อโควิด เราจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มใด ต้องรู้ไว้เพื่อที่เราจะได้สามารถจัดระเบียบและเตรียมตัวหากกรณีเราหรือคนใกล้ตัวติดโควิด-19 ขึ้นมา

          โดยข้อมูลล่าสุด ข้อมูลจากกรุงเทพมหานครได้จัดกลุ่มผู้ติดเชื้อโควิด-19 ออกเป็น 3 ระดับเพื่อคัดแยกผู้ป่วยและดูแลให้เหมาะสมตามอาการ ได้แก่

  1. ผู้ป่วยโควิด-19 “กลุ่มสีเขียว”

          เป็น กลุ่มที่ไม่มีอาการ หรือ มีอาการเล็กน้อย เช่น มีไข้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ตาแดง ผื่นขึ้น ถ่ายเหลว โดยส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่จะนำส่งเข้าโรงพยาบาลสนาม และ Hospitel

          Hospitel(ฮอสพิเทล) ขยายความให้อีกนิด คือ หอผู้ป่วยติดโรคโควิด-19 เฉพาะกิจ เป็นการรวมกันของคำว่า Hospital ที่แปลว่าโรงพยาบาล กับ Hotel ที่แปลว่า โรงแรม สรุปคือ โรงแรมที่จัดห้องเฉพาะให้เหมือนโรงพยาบาลไว้รองรับผู้ป่วยที่มีอาการน้อยหรือไม่แสดงอาการ 

  1. ผู้ป่วยโควิด-19 “กลุ่มสีเหลือง”

          เป็น กลุ่มที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีอาการเหนื่อยหอบ หายใจเร็ว มีความเสี่ยงหรือมีโรคร่วมที่สำคัญ เช่น 

  • อายุมากกว่า 60 ปี
  • ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (รวมโรคปอดอื่นๆ)
  • โรคไตเรื้อรัง
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด (รวมโรคหัวใจแต่กำเนิด)
  • โรคหลอดเลือดสมอง
  • เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
  • ภาวะอ้วนที่มีน้ำหนักมากกว่า 90 กิโลกรัม
  • ตับแข็ง และภูมิคุ้มกันต่ำ (เซลล์เม็ดเลือดขาวต่ำกว่า 1,000 cell/mms) 

          หากมีโรคใดโรคหนึ่งตามที่กล่าวมาเจ้าหน้าที่ต้องนำส่งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

  1. ผู้ป่วยโควิด-19 ส่วน “กลุ่มสีแดง”

          เป็น กลุ่มผู้ป่วยอาการหนัก มีอาการหอบเหนื่อย หายใจลำบาก X-ray พบปอดอักเสบรุนแรง มีภาวะปอดบวม มีความอิ่มตัวของเลือดน้อยกว่า 96% หรือความอิ่มตัวของเลือดลดลงมากกว่า 3% ของค่าที่วัดได้ครั้งแรกหลังออกแรง (Exercise – induced Hypoxemia) ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

           ปัญหาสายด่วนโทรไม่ติด กำลังรีบแก้ไข

          ส่วนปัญหาด้านการติดต่อแพทย์และสายด่วนต่างๆ กรุงเทพมหานครก็ได้ปรับปรุงและพัฒนาระบบให้รองรับการเข้าถึงของประชาชนมากขึ้น ทั้งศูนย์เอราวัณ กทม. 1669 สายด่วนกรมการแพทย์ 1668 และสายด่วน 1330 หรือแจ้งข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน Line @sabaideebot ได้อีกช่องทางหนึ่ง เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยตกค้างหรือรอคิวเป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังปรับปรุงอื่นๆเช่น 

  • เพิ่มจำนวนคู่สายของสายด่วนศูนย์เอราวัณ 1669
  • เพิ่มเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในช่วงเวลากลางวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 16.00 น.
  • ปรับปรุงระบบเสียงตอบรับอัตโนมัติขณะประชาชนรอสาย
  • จัดระบบการรับสายใหม่ โดยรับสายพร้อมให้ประชาชนแจ้งเฉพาะชื่อและเบอร์ติดต่อเพื่อให้เจ้าหน้าที่ประสานงานกลับเพื่อลดเวลาการรอคอยของประชาชน
  • สำนักงานเขตทั้ง 50 เขต ของกรุงเทพฯ ได้จัดรถรับ-ส่ง เพื่อสนับสนุนการรับส่งผู้ป่วยในพื้นที่ไปส่งโรงพยาบาลสนามให้เร็วยิ่งขึ้น

          สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ 

          แบ่ง 6 โซนเพื่อเข้าถึงประชาชน

          กระทรวงสาธารณสุขได้จัดโซนพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร เพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการเตียงรองรับผู้ป่วยติดเชื้อ โดยแบ่งออกเป็น 6 โซน โดยประชาชนสามารถเข้ารับการรักษาได้ทั้งโรงพยาบาลและสถานพยาบาลขนาดเล็ก แต่หากมีอาการหนัก มีโรคประจำตัว หรือมีภาวะแทรกซ้อน จึงจะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีเครื่องมือและแพทย์ที่เชี่ยวชาญ โดยโรงพยาบาลหัวหน้าทั้ง 6 โซน ประกอบด้วย

          โซนที่ 1 รพ.ทั้งหมดในส่วนกลาง มีโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และ โรงพยาบาลราชวิถี เป็นหัวหน้าโซน

          โซนที่ 2 โซนใต้ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

          โซนที่ 3 โซนเหนือ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์และโรงพยาบาลภูมิพล

          โซนที่ 4 โซนตะวันออก โรงพยาบาลรามาธิบดี

          โซนที่ 5 โซนโรงพยาบาลศิริราช

          โซนที่ 6 โซนวชิรพยาบาล

          สำหรับโรงพยาบาลหัวหน้าโซน จะช่วยดูแลโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน และรับส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ขณะที่ภาคเอกชนจะมีโรงพยาบาลในเครือขนาดใหญ่ เช่น สมิติเวช เกษมราษฎร์ กรุงเทพ ที่มีระบบดูแลโรงพยาบาลในเครือ หากมีความจำเป็น สามารถปรึกษาข้ามโซน โดยมีศูนย์บริหารจัดการเตียงโรงพยาบาลราชวิถี เป็นศูนย์กลางคอยรองรับ หรือ ติดตามข้อมูลเรื่องโควิด-19 อื่นๆได้ที่ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube