fbpx
Home
|
ข่าว

สนค.อาเซียนเนื้อหอม มีปัจจัยหนุนดึงดูดลงทุน

Featured Image

 

 

 

สนค. เผยอาเซียนเนื้อหอม มีปัจจัยหนุนดึงดูดลงทุน ไทยต้องเร่งเตรียมพร้อมทุกมิติ ช่วงชิงการลงทุนในไทย

 

 

 

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจ ในการเพิ่มมูลค่าการส่งออก การจ้างงาน และการใช้วัตถุดิบในประเทศ รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่มาสู่ไทย ซึ่งนับว่า FDI ส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

 

ตามรายงานการลงทุนโลกประจำปี 2566 (World Investment Report 2023) โดยการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) พบว่า ในปี 2565 มูลค่า FDI ของโลกหดตัวร้อยละ 12.4 ที่ระดับ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยมีมูลค่า FDI ที่ 10.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นอันดับที่ 5 ของภูมิภาคอาเซียน รองจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย ตามลำดับ โดยมูลค่า FDI หดตัวร้อยละ 31.5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่มูลค่า FDI ของภูมิภาคอาเซียนขยายตัวร้อยละ 4.6

 

อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 ไทยมีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ จำนวน 1,394 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 มูลค่าเงินลงทุนรวม 663,239 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 78.2 ของมูลค่าเงินลงทุนที่ขอรับการส่งเสริมทั้งหมด) เพิ่มขึ้นร้อยละ 72 ซึ่งบ่งชี้ว่าแนวโน้มการลงทุนในประเทศไทยมีทิศทางที่ดีสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทย

 

เมื่อเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อการดึงดูดการลงทุนใน 5 ประเทศเศรษฐกิจสำคัญของอาเซียน พบว่า สิงคโปร์ มีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การมีระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมยุคใหม่ รวมถึงการเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลกมีประเทศคู่ FTA ทั่วโลกมากที่สุดในอาเซียน (จำนวน 65 ประเทศ) แรงงานมีทักษะสูงและใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักนโยบายและมาตรการที่เอื้อต่อการลงทุน มีโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำระดับโลก อินโดนีเซีย มีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ จำนวนแรงงานและการเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีทรัพยากรเหมืองแร่ที่สำคัญ อาทิ นิกเกิล ดีบุก และทองแดง รวมถึงนโยบายและมาตรการที่เอื้อต่อการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์

 

เวียดนาม มีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ เศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่องในระดับสูงในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ที่ร้อยละ 7.5 (CAGR) มีประเทศคู่ FTA มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในอาเซียน (จำนวน 54 ประเทศ) มีเสถียรภาพทางการเมือง ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงาน และการให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี มาเลเซีย มีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ แรงงานมีทักษะสูงโดยเฉพาะทักษะดิจิทัล และสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ มีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญอย่างปิโตรเลียม และแร่โลหะที่สำคัญ และการริเริ่มโครงการวีซ่าพรีเมียมเพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามาพำนักระยะยาว

 

ในขณะที่ ไทย มีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การมีระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งด้านห่วงโซ่อุปทานและโครงสร้างพื้นฐาน และการดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจและอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการผลักดัน พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะรองรับการลงทุนสีเขียว ขณะที่ปัจจัยท้าทาย ได้แก่ ไทยมีประเทศคู่ FTA ไม่มากนัก (จำนวน 19 ประเทศ รวมศรีลังกาที่ลงนามเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2567) เมื่อเปรียบเทียบกับสิงคโปร์และเวียดนาม การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ซึ่งส่งผลต่อจำนวนแรงงานในอนาคต

 

อย่างไรก็ตาม จากความสำคัญของการลงทุนและโอกาสที่กำลังเกิดขึ้นดังที่กล่าวข้างต้นไทยควรเร่งดำเนินการเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้าสู่ประเทศไทย อาทิ (1) การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศเชิงรุก โดยการเร่งดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ จากกลุ่มนักลงทุนข้ามชาติที่มีศักยภาพ รวมถึงการสร้างการรับรู้เชิงบวกในการลงทุนในประเทศไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน (2) การอำนวยความสะดวกและการแก้ไขอุปสรรคในการลงทุน

 

ตลอดจนการอำนวยความสะดวกในการทำงานของผู้เชี่ยวชาญและช่างเทคนิคชาวต่างชาติและผู้ติดตาม (3) การเร่งเจรจาจัดทำ FTA โดยเฉพาะการจัดทำ FTA กับตลาดที่มีศักยภาพสูงอย่างสหภาพยุโรป ซึ่งการมีคู่ประเทศ FTA เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ (4) การเตรียมความพร้อมด้านแรงงาน (5) การพัฒนาระบบนิเวศให้เอื้อต่อการลงทุน โดยการส่งเสริมการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมถึงการเร่งพัฒนาผู้ประกอบการ

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube