fbpx
Home
|
ข่าว

“ปานปรีย์” ยันให้เครื่องบินเมียนมาลงจอดไม่ใช่ชักศึกเข้าบ้าน

Featured Image
“ปานปรีย์” ลั่นไม่ใช่ชักศึกเข้าบ้าน อนุญาตเครื่องบินพาณิชย์เมียนมาลงจอดแม่สอด ยันมีแค่เอกสารราชการ ไร้อาวุธ -กำลังพล -เงินตรา ย้ำไทยเป็นกลาง และเป็นการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม นายกฯ สั่งการเตรียมแผนรองรับผู้อพยพ

 

 

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวภายหลังขึ้นไปประชุมกับนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับสถานการณ์สู้รบในประเทศเมียนมา และการลงจอดของเครื่องบินพาณิชย์เมียนมา ที่สนามบินแม่สอด ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีประชาชนชาวเมียนมาที่หนีภัยสงครามเข้ามาประเทศไทย แต่อาจจะมีเดินทางเข้ามาบ้างประปราย

 

สำหรับเรื่องเครื่องบินที่มีการขอลงจอดที่สนามบินแม่สอด ปกติเรื่องนี้ที่มีการขอมาเป็นประจำ ซึ่งครั้งนี้เป็นเครื่องบินพาณิชย์ ที่ไม่ใช่เครื่องบินทหาร ซึ่งโดยปกติหากมีการขออนุญาตที่ถูกต้อง ทางกระทรวงต่างประเทศก็จะออกใบอนุญาตให้บินเข้ามาได้ ซึ่งครั้งนี้เป็นการขออนุญาตมาจากสถานเอกอัครราชทูตประเทศเมียนมา ประจำประเทศไทย

 

โดยระบุว่าเป็นการขอความร่วมมือ เพราะอาจจะมีประชาชนได้รับผลกระทบ จึงมีความจำเป็นที่ต้องขอความช่วยเหลือประเทศไทย ในเรื่องของมนุษยธรรม โดยตอนแรกได้ร้องขอบินเข้ามา 3 ครั้ง เพราะคาดว่าจะมีประชาชนชาวเมียนมามีเข้ามาเยอะ อย่างไรก็ตามสุดท้ายก็ไม่ได้มีมาเยอะ เพราะอาจจะมีการเจรจากันระหว่างกลุ่มที่ต่อสู้กัน

 

ยืนยันว่าเครื่องบินดังกล่าวเป็นการค้นเอกสารราชการ ซึ่งโดยปกติในทางการทูตเราไม่สามารถไปตรวจสอบได้ว่าเป็นเอกสารประเภทไหน เพราะ อาจเป็นเอกสารที่เป็นความลับทางราชการ แต่อย่างไรก็ตามมีการตรวจสอบชายแดนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนเดินทางมาที่สนามบิน ยืนยันว่าไม่มีอาวุธ กำลังพล ทหาร และตามรายงานที่แจ้งมาก็ไม่มีการขนเงินตราเข้ามา เป็นเรื่องมนุษยธรรมอย่างเดียว ซึ่งเมื่อมีจดหมายเข้ามาก็ได้มีการประชุมในส่วนสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรีก็รับทราบเรื่องนี้อยู่ตลอด

 

ทั้งนี้ในช่วงเช้าวันนี้นายกรัฐมนตรีได้เชิญหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยหารือ โดยเฉพาะหน่วยงานความมั่นคง ซึ่งนายกสั่งการให้เตรียมแผนการรองรับหากสถานการณ์เมียนมารุนแรงขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาได้เตรียมแผนรองรับมาเป็นเวลานานแล้ว และสามารถรองรับชาวเมียนมาที่ได้รับผลกระทบกว่า 1 แสนคน เป็นการชั่วคราว

 

แต่อย่างไรก็ตามหากมีประชาชนเข้ามามากกว่า 1 แสนคน ก็จะต้องมีการเจรจากับต่างประเทศเพื่อให้เข้ามาให้ความช่วยเหลือด้วย จากประเทศไทยไม่สามารถช่วยเหลือได้เพียงลำพัง นายปานปรีย์ ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการชักศึกเข้าบ้าน เพราะไม่ได้เป็นเครื่องบินทหาร เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ไม่มีประเด็น

 

อย่างไรก็ตามมีความเป็นห่วงเรื่องการค้าชายแดน โดยเฉพาะที่อำเภอแม่สอด ที่การค้าขายลดลงไปถึง 30% ซึ่งก็ต้องมีการเตรียมพร้อมหากเกิดต้องปิดชายแดน แต่วันนี้ยังไม่ปิด ข้าราชการกรมศุลกากรและตรวจคนเข้าเมืองยังทำงานปกติ ซึ่งในอนาคตการค้าใช้ในเส้นทางแม่สอดไม่สามารถใช้ได้ ก็อาจจะต้องเปลี่ยนเส้นทางไปที่ระนอง

 

ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาเหมาะสมในการเจรจากับเมียนมา นายปานปรีย์ ระบุว่า การเจรจาต้องเจรจาครบทุกกลุ่ม เนื่องจากเวลานี้มีหลายกลุ่ม ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ต้องทำ อย่างไรก็ตามประเทศไทยเป็นกลางในเรื่องนี้ และมีความประสงค์ที่อยากจะให้เกิดสันติสุขในประเทศเมียนมา เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งต้องเร่งหาทางให้เกิดการเจรจา เพื่อให้การสู้รบยุติลง

 

ในขณะที่มีความเป็นห่วงเรื่องผู้อพยพ เพราะอาจจะทำให้ชาวเมียนมาทั้ง 2 ฝ่ายมาเจอกัน ก็อาจจะเกิดความวุ่นวายและความรุนแรงในเขตประเทศไทยได้ นายปานปรีย์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของการบริหารจัดการ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยและหน่วยความมั่นคง จะเป็นหน่วยงานที่รู้ ว่าชาวเมียนมาที่เข้ามาเป็นกลุ่มไหน เพราะฉะนั้นการนำ กลุ่มชาติพันธ์ที่ไม่ถูกกัน หรือนำบุคคลของรัฐบาลมาอยู่ร่วมกัน ก็อาจจะมีปัญหาได้ เชื่อว่ารัฐบาลสามารถแยกแยะได้

 

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube