“ธีรยุทธ” หอบเอกสารกว่า 100 แผ่น ยื่นกกต.ส่งศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล ย้อนนักวิชาการติงคำวินิจฉัยให้ไปอ่านใหม่ มั่นใจศาลพิจารณารอบด้านแล้ว
นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ในฐานะผู้ร้องศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยยุติการกระทำของพรรคก้วไกล กรณีหาเสียงแก้ไขมาตรา 112 เดินทางที่ยื่นร้องต่อกกต.ให้ยุบพรรคก้าวไกล หลังจากเมื่อคืนนี้ได้ถอดเทปคำวินิจฉัยของศาลอย่างละเอียด และเห็นว่าในฐานะที่เป็นผู้ร้องมาก่อน ควรดำเนินการให้ครบถ้วน ตามสิทธิพึงมีตามรัฐธรรมนูญ
โดยวันนี้ได้นำนำคำร้อง 11 แผ่น และคำถอดเทปคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 11 แผ่น รวมถึงเอกสารประกอบอีก 116 แผ่น มายื่นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 92 วรรค 1 อนุ 1 เพื่อพิจารณาให้สั่งยุบพรรคก้าวไกล เนื่องจากคำวินิจฉัย ควรเชื่อได้ว่า พรรคก้าวไกลกระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงขอให้กกต.ดำเนินการกับพรรคก้าวไกลให้เป็นไปตามคำวินิจฉัย
เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นายธีรยุทธ กล่าวว่า ก็เป็นไปตามพยานหลักฐานที่เกิดจากการกระทำของนายพิธา และพรรคก้าวไกลเอง ซึ่งก่อนหน้านี้วัตถุประสงค์หลักของตัวเองในครั้งแรก คือ ขอให้ศาลเมตตาพิจารณาสั่งการให้หยุดการกระทำเหล่านั้น หรือเลิกเสีย แต่ด้วยหลายปัจจัย และหลังอ่านคำวินิจฉัยโดยละเอียดก็เห็นว่า เมื่อตัวเองเป็นผู้ร้องมาก่อนย่อมมีคำผูกพันกับคำวินิจฉัยของศาลโดยตรง กระบวนการต่อไป จึงดำเนินการให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยนั้น หรือ เมื่อใดทราบเหตุก็ให้ร้องต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ตัวเองจึงจำเป็นต้องยื่นคำร้องต่อ
เมื่อถามว่า หากกกต.ส่งเรื่องยุบพรรคให้ศาลรัฐธรรมนูญกังวลว่าจะมีความขัดแย่งเกิดขึ้นหรือไม่ นายธีรยุทธ บอกว่า คงไม่ เพราะคำวินิจฉัยของศาลเป็นการวางบรรทัดฐานการเมืองการปกครองของไทย ซึ่งสมาชิก และผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล ก็อยู่ในฐานะที่ต้องปฏิบัติยึดถือบรรทัดฐานที่เกิดขึ้น เพราะเชื่อว่า หลักการนี้ก็อยู่ในข้อบังคับของพรรคก้าวไกลเอง ส่วนจะมีผลกระทบอย่างไร ก็เป็นปัจเจกบุคคลของผู้นั้นที่ต้องระลึกถึงบ้าง
ส่วนที่นักวิชาการบางคนมองว่า คำวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่จะไม่สามารถพูดถึงมาตรา 112 ทั้งในและนอกสภาได้อีก นายธีรยุท บอกว่า นักวิชาการคนนั้น คงไม่ได้อ่านคำวินิจฉัยของศาลโดยละเอียดก็ขอให้กลับไปฟังใหม่ เพราะก่อนที่ศาลจะจบคำวินิจฉัย ก็ไม่ได้บอกว่าปิดประตูเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 แต่ต้องเป็นไปตามครรลองนิติบัญญัติโดยชอบ ซึ่งในความหมายของตัวเอง ต้องเป็นฉันทามติ แต่คนที่คิดแก้ไขมาตรา 112 ศาลชี้แล้วว่า มีเจตนาซ่อนเร้นอย่างอื่นอันมีนัยยะสำคัญ ขณะเดียวกันศาลยังใช้เวลาในการประชุมเรื่องนี้ ถึง 62 ครั้ง ดังนั้นการทำวินิจฉัย จึงมีความละเอียด รอบด้าน มีข้อมูลจากหลายหน่วยงานของรัฐเกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานศาลยุติธรรม
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews