“คีรี” จี้ รัฐบาล กทม. จ่ายหนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว อย่านิ่งเฉย ขณะตัวเลขหนี้พุ่งกว่า 40,000 ล้านบาท
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องการลงทุน และการขนส่งระบบราง ที่พรรคชาติไทยพัฒนา ตามคำเชิญของนายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค โดยนายคีรี กล่าวว่า ปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในขณะนี้ ไม่อยากให้พูดถึงการขยายสัมปทาน แต่หน่วยงานของรัฐบาลควรหางบประมาณมาจ่ายหนี้ให้กับบีทีเอสได้แล้ว และไม่ควรมาถกเถียงกันเรื่องสัญญา เพราะทุกวันนี้บีทีเอสยังคงเดินรถในส่วนต่อขยายอย่างต่อเนื่อง ทั้งส่วนต่อขยายที่ 1? ช่วงสะพานตากสิน-วงเวียนใหญ่-บางหว้า และช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง
และส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ที่สำคัญศาลปกครองกลางได้พิพากษาว่า กทม.ต้องร่วมจ่ายหนี้ค้างชำระค่าจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุงโครงการฯ ที่บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด ได้ค้างชำระในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว 11,755 ล้านบาท นับเฉพาะยอดหนี้ที่ค้างจ่ายจนถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับจากคดีถึงที่สุด อีกทั้งบีทีเอสได้ให้เวลาในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวกับกทม.มาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้นควรตัดสินใจ และแก้ไขปัญหากับเรื่องดังกล่าวโดยเร็วที่สุด
นายคีรี กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้ทางพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, คณะรัฐมนตรี และกทม.เข้ามาตรวจสอบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะดำเนินการกันอย่างไรต่อไป แต่บีทีเอสขอยืนยันว่าจะไม่หยุดเดินรถอย่างแน่นอน เพราะประชาชนจะเดือดร้อน และอย่าทำเป็นเพิกเฉยต่อหนี้ที่เกิดขึ้น และอย่าอ้างถึงสิ่งที่ไม่เข้าใจเพื่อยืดเยื้อหนี้ เพราะจะเป็นการกลั่นแกล้งภาคเอกชน อีกทั้ง ตัวเลขหนี้ที่เกิดขึ้นจนถึงปัจจุบันกว่า 40,000 ล้านบาทแล้ว และดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นทุกวัน หากปล่อยไว้ ภาษีของประชาชนจะเสียหาย และอย่าใช้ข้ออ้างว่าต้องการปกป้องอะไร แต่ควรหาวิธีแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น หรือหากไม่มีงบประมาณมาจ่ายหนี้ ก็ควรหาข้อเสนอมาเพื่อแก้ไข แต่ไม่ควรนิ่งเฉยรอให้หมดสัญญาสัมปทานปี 2572
ด้านปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วง บางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) หากไม่ได้มีการล้มประมูลไปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา อาจทำให้รัฐบาลประหยัดงบประมาณได้กว่า 68,612 ล้านบาท เพราะบีทีเอสขอรับเงินสนับสนุนจากโครงการเพียงแค่ 9,675 ล้านบาท แต่ผู้ชนะการประมูลโครงการรายล่าสุดคือ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ขอรับเงินสนับสนุนจากโครงการถึง 78,285 ล้านบาท
เรื่องนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบ และรัฐบาล ต้องไปศึกษาเรื่องที่เกิดขึ้น ว่าหากไม่มีการแก้ไขหลักเกณฑ์ หรือล้มประมูล ประเทศชาติจะได้ประโยชน์มากกว่าใช่หรือไม่ ดังนั้นต้องไปตรวจสอบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใดถึงเสียเวลาไป 2 ปี เพราะบีทีเอสต่อสู้ในเรื่องนี้เพราะต้องการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติเท่านั้น
ส่วนปัญหาเรื่องราคาค่าโดยสาร มีแนวทางที่สามารถทำให้ราคาถูกลงได้ โดยใช้วิธีให้รัฐบาลเข้ามาสนับสนุน และประชาชนจะได้ใช้บริการด้วยอัตราค่าโดยสารที่ถูกลง แต่ไม่ควรให้เอกชนมาแบกรับ เพราะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมีต้นทุน ทั้งค่าจ้างพนักงาน, จัดซื้อขบวนรถไฟฟ้า, ค่าบริหาร และค่าซ่อมบำรุง ดังนั้นหากจะทำให้ค่าโดยสารถูกลงไปพร้อมกันคงทำได้ยาก
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
LINE Official Account : @innnews