fbpx
Home
|
อาชญากรรม

เด็ก14 นอนสถานพินิจฯ พูดจาน้อย-วิตกกังวล

Featured Image
รองอธิบดีกรมพินิจฯ เผย ด.ช.14 นอนสถานพินิจฯ คืนแรก พูดจาน้อย ไม่อยากอาหาร มีความวิตกกังวล ด้านจิตแพทย์หากประเมินพบเด็กมีอาการทางจิตเวชเสี่ยงขั้นรุนแรง พร้อมประสาน “สถาบันกัลยาณ์” ทำความเห็นรายงานศาลเยาวชนฯ ขอส่งตัวแอดมิทนอกสถานพินิจ

 

 

 

วันนี้ (5 ต.ค. 66) ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยถึงกรณีกระบวนการรับตัว ด.ช.วัย 14 ปี เป็นวันแรกจาก น.ส.ศิริประกาย วรปรีชา รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ว่า จากการที่เจ้าหน้าที่สถานพินิจฯ ได้รับตัวเมื่อช่วงเย็นวานนี้ โดยทราบว่าบิดาของเด็กชายได้เดินทางมาส่งด้วย เพราะมีความห่วงใยเป็นห่วงลูกชาย

 

 

 

ส่วนขั้นตอนการแรกรับ ทางสถานพินิจฯ โดยนักจิตวิทยา นักจิตแพทย์ พ่อบ้านแรกรับหรือพ่อบ้านแห่งบ้านเมตตาจะร่วมกันพูดคุยสอบถามในเบื้องต้น รวมถึงประเมินสุขภาพจิตเบื้องต้นร่วมด้วย และเด็กชายจะได้รับการกักโรคโควิด-19 ก่อน 5 วัน ซึ่งระหว่างนี้ก็จะมีการประเมินเรื่องสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่อง และจะประสานปรึกษาร่วมกับแพทย์เฉพาะทางของสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ หากแพทย์มีความเห็นว่าเด็กชายมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิตในขั้นที่ต้องเข้ารับการรักษาหรือแอดมิท (Admit) ก็จะมีการทำรายงานพร้อมแนบความเห็นแพทย์เสนอต่อศาลเยาวชนฯ เพื่อศาลรับทราบว่าจะมีการส่งต่อเด็กชายไปนอนพักเข้ารับการรักษาตัวที่สถาบันกัลยาณ์ฯแทน

 

 

 

ซึ่งเป็นหลักปกติทั่วไปที่เด็กๆรายใดซึ่งมีอาการจิตเวชร่วมด้วยนั้น จะได้รับการส่งต่อดูแลโดยเเพทย์เฉพาะทาง อาจจะด้วยการที่แพทย์มีความเห็นให้แอดมิท หรือมีความเห็นจ่ายยารักษา เป็นต้น ส่วนระยะการรักษาตัว หากมีการแอดมิท จะอยู่ที่ดุลพินิจของแพทย์เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม หากเด็กชายได้รับการประเมินสุขภาพจิตและพบว่าอยู่ในขั้นที่ไม่วิกฤติหรือน่าเป็นกังวล จิตแพทย์และนักจิตวิทยาก็จะมีการร่วมกันกำหนดถึงกระบวนการรักษาหรือโปรแกรมต่างๆหลังจากนี้ที่เด็กชายจะต้องเข้าร่วมระหว่างรอการพิจารณาคดีของศาล ซึ่งเด็กชายก็จะได้ใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนๆคนอื่นๆในบ้านเมตตา ได้ทำกิจกรรมต่างๆเพื่อเป็นการละลายพฤติกรรมและได้รับการพัฒนาพฤตินิสัย

 

 

น.ส.ศิริประกาย กล่าวอีกว่า จากการได้รับรายงานพบว่าวานนี้ หลังการรับตัวและประเมินสุขภาพเบื้องต้น เด็กชายไม่ค่อยพูดจา อาจเพราะเพิ่งได้เข้ามายังภายในสถานพินิจฯ ยังมีความไม่คุ้นชิน และตนยังไม่ได้รับแจ้งว่าเด็กชายได้แสดงความประสงค์ไม่อยากอยู่ที่นี่หรือเรียกร้องกลับบ้านแต่อย่างใด และไม่ค่อยอยากรับประทานอาหาร แต่แน่นอนว่าจะมีอาการวิตกกังวลบ้าง ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะทุกคนรู้ว่าจะต้องถูกแยก อาจกังวลเรื่องความเป็นอยู่ของตัวเอง แต่ยังไม่มีอาการร้องไห้ฟูมฟายหรือซึมเศร้าผิดปกติ อยู่ระหว่างการค่อยๆปรับตัว

 

 

 

 

เมื่อถามว่าทางบิดาของเด็กชายได้ฝากฝังในเรื่องใดเป็นพิเศษหรือไม่นั้น น.ส.ศิริประกาย กล่าวว่า เท่าที่ตนได้รับทราบจากเจ้าหน้าที่ ทราบว่าบิดาของเด็กชายค่อนข้างรู้สึกเสียใจ ส่วนเรื่องอาการทางจิตหรือการฝากฝังดูแล เมื่อวานนี้เจ้าหน้าที่กรมพินิจฯ ก็ได้ทำความเข้าใจกับคุณพ่อของเด็กชายถึงเรื่องกระบวนการในการดูแลเด็กชาย และการออกรายงานของกรมพินิจฯ

 

 

 

คือ การสืบเสาะแสวงหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กชาย เเละเราจะต้องทำความเข้าใจกับผู้ปกครองของเด็กๆทุกคนที่จะเข้ามาที่สถานพินิจฯ ว่าจะมีกิจกรรมการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง หรือมีโปรแกรมพัฒนาพฤตินิสัยอย่างไรบ้าง เพื่อส่งเสริมด้านการบำบัดให้เด็กได้พัฒนาตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเองและไม่หวนกลับไปกระทำความผิดซ้ำ

 

 

 

เมื่อถามว่าทางผู้ปกครองจะขอนำตัวเด็กชายไปรักษาตัวภายนอกกับแพทย์เองได้หรือไม่นั้น น.ส.ศิริประกาย กล่าวว่า ทางผู้ปกครองจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนฯ เพื่อศาลพิจารณาและมีคำสั่งแจ้งกลับว่าอนุญาตหรือไม่ อย่างไร เพราะในส่วนของสถานพินิจฯ จะรับหน้าที่เป็นสถานที่สำหรับเด็กที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล

 

 

 

ทั้งนี้ หากศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องขอของผู้ปกครอง ศาลจะมีเอกสารแจ้งมายังสถานพินิจฯ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลต่อไป และผู้ปกครองจะต้องเดินทางมายังสถานพินิจฯ เพื่อเซ็นเอกสารสำหรับการรับตัวเด็ก ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอน และกระบวนการใดๆทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นกับเด็กชายหลังจากนี้ ศาลเยาวชนฯจะต้องรับทราบทุกเรื่อง เพราะเรื่องการตัดสินใจใดๆของผู้ปกครองที่มีผลต่อเด็ก ถือเป็นเรื่องสำคัญ

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

 

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube