สตง.จับมือ ป.ป.ช.-ป.ป.ท.MOUประเมินความเสี่ยงทุจริต
สตง.จับมือ ป.ป.ช.-ป.ป.ท. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเดินหน้า “ประเมินความเสี่ยงทุจริตเชิงนโยบาย” ในโครงการขนาดใหญ่
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) โดยนายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดย นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)
โดยนายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อปฏิบัติงานร่วมกันในการขับเคลื่อนการประเมินความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริมธรรมาภิบาลขับเคลื่อนการประเมินความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ และเฝ้าระวังการทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ เป็นความร่วมมือเชิงรุกเพื่อป้องกันการทุจริตตั้งแต่ต้นทาง
โดยนายมณเฑียร กล่าวว่า บันทึกข้อตกลงฉบับนี้เป็นการบูรณาการการทำงานของสามหน่วยงานหลักที่มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินแผ่นดิน รวมถึงการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ โดยให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายและการพัฒนาเครื่องมือเฝ้าระวังการทุจริต เพื่อให้โครงการขนาดใหญ่ดำเนินไปอย่างโปร่งใสและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
เนื่องจากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม พลังงาน และระบบสาธารณูปโภค เป็นโครงการที่ใช้เงินลงทุนสูงและมีความซับซ้อน การมีระบบประเมินความเสี่ยงการทุจริตที่แม่นยำจะช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถระบุจุดอ่อน ลดช่องโหว่ และป้องกันการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างมาตรฐานใหม่ให้การบริหารงบประมาณภาครัฐ
โดย สตง. มุ่งมั่นที่จะยกระดับการตรวจสอบภาครัฐให้ทันสมัย ด้วยแนวทาง ‘การตรวจสอบเชิงป้องกัน’ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงการทุจริตตั้งแต่ต้นทาง โดยจะทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างธรรมาภิบาลและช่วยให้การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานตรวจสอบของไทยพร้อมเดินหน้าใช้เทคโนโลยีและแนวทางการตรวจสอบสมัยใหม่
เพื่อนำประเทศไทยไปสู่มาตรฐานสากล สตง. จะไม่รอให้เกิดความเสียหายแล้วจึงเข้ามาตรวจสอบ แต่จะใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และเครื่องมือเฝ้าระวังเพื่อป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหาขึ้น มุ่งเน้นการบูรณาการข้อมูลและการป้องกันเชิงรุก ด้านนายสาโรจน์ กล่าวว่า ป.ป.ช. ในฐานะหน่วยงานหลักในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศ ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนามาตรการ กลไก และเครื่องมือในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่มีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐและทุกภาคส่วนของสังคมมาอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันได้พัฒนาและนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่มาใช้ในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริตของ “ศูนย์ป้องปรามการทุจริตแห่งชาติ” (Corruption Deterrence Center ) หรือ “ศูนย์ CDC” เพื่อระงับยับยั้งมิให้เกิดการทุจริตได้อย่างรวดเร็ว สามารถ ติดตาม ตรวจสอบ และเฝ้าระวังการทุจริตโครงการขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่าการทุจริตในโครงการขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องของบุคคลหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบและความเสียหายต่อทั้งประเทศ การมีระบบประเมินความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายที่ดีจะช่วยให้สามารถคาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์การทุจริตได้อย่างแม่นยำเพื่อเฝ้าระวัง ป้องปราม ป้องกัน และลดการทุจริตที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และนายภูมิวิศาล กล่าวว่า ป.ป.ท. ในฐานะหน่วยงานหลักในการผลักดันและขับเคลื่อนเรื่องการประเมินความเสี่ยงการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐ และมีบทบาทสำคัญในการเฝ้าระวังและสกัดกั้นการทุจริตในภาครัฐ ได้นำเครื่องมือการประเมินความเสี่ยงการทุจริตมาใช้ในการประเมินความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ของหน่วยงานภาครัฐ
เพื่อป้องกัน สกัดกั้น ลด และปิดโอกาสการทุจริตในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ พร้อมที่จะสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับ สตง. และ ป.ป.ช.อย่างเต็มที่ เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการส่งเสริม สนับสนุน และให้ความรู้แก่ทุกภาคส่วน ให้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการประเมินความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





