fbpx
Home
|
ข่าว

มติสภา369 : 10 รับหลักการร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม

Featured Image
มติสภาฯ 369 : 10 รับหลักการร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม เปิดกว้างคู่รัก LGBTQ+ ยอมรับความแตกต่าง ขณะ สส.มุสลิม ขอสงวนสิทธิ์ไม่เห็นชอบ

 

 

 

 

 

ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเสียงข้างมาก 369 : 10 เสียง รับหลักการร่างพระราชบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือ ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ในวาระแรก จำนวน 4 ฉบับที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี, นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล, นายสรรเพชญ์ บุญญามณี สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และจากภาคประชาชนที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายกว่า 10,000 คน

 

 

 

 

 

 

โดยการอภิปรายของ สส.ทั้งพรรคร่วมรัฐบาล และฝ่ายค้านส่วนใหญ่ ต่างสนับสนุนร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพราะการจำกัดการสมรสเฉพาะชายหญิงปัจจุบัน ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคม ที่ความรักไม่ได้แบ่งเพียงชาย-หญิงแต่ยังมีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งจากบรรทัดฐานของสังคมไทยในอดีต ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม เกิดการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เพราะไม่มีกฎหมายรับรองสิทธิสมรสของคู่รักเพศเดียวกัน เช่น สิทธิการตัดสินใจรักษาพยาบาล

 

 

 

 

 

สิทธิมรดก และสิทธิการจัดการทรัพย์สินร่วมกัน เป็นต้น จึงเชื่อว่า การสมรสเท่าเทียม จะเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมที่จะยอมรับความแตกต่าง ใช้สิทธิทางเพศของตนเองได้อย่างเต็มที่ และเสริมสร้างโอกาส และความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัวไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม และในเชิงเศรษฐกิจ จะช่วยสร้างรายได้จากกลุ่มนักท่องเที่ยว LGBTQ+ ได้ เพราะที่ผ่านมา ประเทศไทย เป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชีย ที่ได้รายได้จากนักท่องเที่ยวกล่ม LGBTQ+ ในภูมิภาคเอเชียกว่า 6,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

 

 

 

สำหรับเนื้อหาภายในร่างกฎหมายที่สำคัญ อาทิ การสมรส และการหมั้นจะกระทำได้ต่อเมื่อบุคคลทั้ง 2 ฝ่าย เมื่ออายุ 17 ปีบริบูรณ์แล้ว โดยการสมรสจะสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อได้มีการจดทะเบียนต่อนายทะเบียนแล้ว ซึ่งในการหมั้นแล้วฝ่ายใดผิดสัญญา อีกฝ่ายมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน และกรณีผู้รับหมั้นผิดสัญญา จะต้องคืนของหมั้นแก่ผู้หมั้นด้วย และคู่หมั้นอีกฝ่าย อาจเรียกค่าเสียหายจากผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้นตน ภายหลังการหมั้นได้ และคู่สมรสทุกเพศ ยังมีสิทธิในสินสมรสเหมือนคู่สมรสชายหญิง สิทธิในการฟ้องหย่า การจัดการสินสมรสหลังหย่า สิทธิในมรดก

 

 

 

 

โดยร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม มีกำหนดใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 120 วัน นับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีเวลาเตรียมพร้อมในการดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด พร้อมยังกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประเมินผลสัมฤทธิ์ตามกฎหมาย ดำเนินการทบทวนกฎหมายในความรับผิดชอบ ที่กำหนดสิทธิ หน้าที่

 

 

 

 

สถานะทางกฎหมาย หรือเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคู่สมรส สามี ภรรยา เพื่อรองรับสิทธิ หน้าที่ และสถานะทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้แก่คู่สมรส โดยจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับเพศสภาพของคู่สมรสด้วย และต้องเสนอร่างกฎหมายที่ควรจะต้องมีการแก้ไขต่อคณะรัฐมนตรี ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่กฎหมายฉบับนี้ใช้บังคับ

 

 

 

 

 

ทั้งนี้ สส.พรรคประชาชาติ รวมไปถึง สส.มุสลิม จากพรรคการเมืองอื่น ๆ ส่วนหนึ่ง ได้ขอใช้สิทธิลงมติไม่รับหลักการ เนื่องจากร่างกฎหมายดังกล่าว ยังขัดต่อแนวคิด และความเชื่อของชาวมุสลิมในศาสนาอิสลาม แต่ยืนยันว่า ไม่ได้มีความขัดแย้งกับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ แต่ไม่สบายใจต่อการแก้ไขคู่ชีวิตให้เป็นเพศเดียวกัน เพราะในคัมภีร์อัลกุรอ่าน ระบุคู่สมรส ต้องเป็นเพศชาย และหญิงเท่านั้น จึงทำให้ลงมติไม่รับหลักการ

 

 

 

 

สำหรับขั้นตอนภายหลังที่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงมติให้ความเห็นชอบรับหลักการร่างกฎหมายทั้ง 4 ฉบับแล้ว ที่ประชุมฯ จะตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นมาชุดหนึ่ง จำนวน 39 คน เพื่อนำเนื้อหาในร่างกฎหมาย ทั้ง 4 ฉบับ ที่มีการเสนอมาปรับแก้ร่วมกัน ก่อนส่งให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาในวาระที่ 2-3 ตามขั้นตอนต่อไป

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube