เริ่มแล้ว การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษ ยึดการทูต-สันติวิธี
เริ่มแล้ว การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษ เพื่อหารือสถานการณ์ไทย-กัมพูชา รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย ย้ำ อาเซียนยึดการทูต-สันติวิธี เร่งคลี่คลายสถานการณ์ หวังสองฝ่ายเจราจาอย่างเร่งด่วนที่สุด เพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาคอาเซียน
วันที่ 22 ธ.ค.68 เวลา 12.10 น.ตามเวลาในมาเลเซีย ซึ่งเร็วกว่าไทย 1 ชม.การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษ เพื่อหารือสถานการณ์ไทย-กัมชา ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ที่โรงแรมแกรนด์ไฮแอท กัวลาลัมเปอร์ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ก่อนการประชุม นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ถ่ายภาพหมู่ร่วมกับรัฐมนตรีอาเซียน และนายโมฮามัด ฮาซัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย ในฐานประธานอาเซียน
จากนั้น นายโมฮามัด ฮาซัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย ในฐานประธานอาเซียน ได้กล่าวเปิดการประชุม ย้ำความมุ่งมั่นของอาเซียนในการธำรงสันติภาพ เสถียรภาพ และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดตามแนวชายแดนระหว่างกัมพูชาและประเทศไทย พร้อมระบุว่า การจัดประชุมพิเศษครั้งนี้สะท้อนถึงความรับผิดชอบร่วมกันของอาเซียน ในการรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงของภูมิภาค พร้อมย้ำว่า อาเซียนถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1967 บนรากฐานของการเป็นโครงการด้านการเมืองและความมั่นคง โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างสันติภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ หลักการสำคัญของอาเซียน ได้แก่ การไม่แทรกแซงกิจการภายใน การระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี การงดเว้นการใช้กำลัง และความร่วมมือเพื่อเสถียรภาพของภูมิภาค ได้รับการรับรองผ่านการประกาศเขตสันติภาพ เสรีภาพ และความเป็นกลาง (ZOPFAN) ในปี ค.ศ. 1971 และสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือ (TAC) เมื่อปี ค.ศ. 1976 ซึ่งยังคงเป็นรากฐานสำคัญของอาเซียนจนถึงปัจจุบัน
ประธานอาเซียนแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียชีวิตของพลเรือน และผลกระทบด้านมนุษยธรรมจากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ พร้อมเน้นย้ำว่า ในอาเซียนและโลกที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างใกล้ชิด เหตุการณ์ด้านความมั่นคงในประเทศหนึ่ง ย่อมส่งผลต่อทั้งภูมิภาคและประชาคมโลก
รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่การปะทะเริ่มขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ได้มีบทบาทอย่างต่อเนื่องในการอำนวยความสะดวกเพื่อหาทางออกอย่างสันติ ผ่านการหารือกับนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาและประเทศไทย ส่งผลให้เกิดข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม รวมถึงข้อตกลงเพิ่มเติม และข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 โดยผู้นำของทั้งสองประเทศ และมีผู้นำมาเลเซียร่วมเป็นสักขีพยาน
ประธานอาเซียน เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่าย ดำเนินการตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ พร้อมย้ำว่า เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา มาเลเซียได้แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ และขอให้ทั้งสองฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจ ยุติการสู้รบ และงดการดำเนินการทางทหารเพิ่มเติม โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม เวลา 22.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น
นอกจากนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของมาเลเซียยังได้ประสานงานผ่านกลไกทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team – AOT) เพื่อติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด โดยจะมีการรายงานความคืบหน้าในการประชุมลับของอาเซียนด้วย
รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย ย้ำว่า เป้าหมายของอาเซียนไม่ใช่เพียงการลดระดับความตึงเครียด แต่รวมถึงการเสริมสร้างความไว้วางใจระหว่างคู่ขัดแย้ง และการเปิดพื้นที่สำหรับการเจรจา บนพื้นฐานของ “วิถีอาเซียน” ที่ยึดมั่นในหลักการทูต ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
พร้อมกันนี้ ได้ขอให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศให้ความสำคัญเร่งด่วนต่อสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อแสดงให้ประชาคมโลกเห็นว่า อาเซียนยังคงมีความเข้มแข็ง ยืดหยุ่น และสามารถก้าวข้ามความท้าทายด้านความมั่นคงได้เช่นเดียวกับที่ผ่านมาเกือบหกทศวรรษ
หลังจากนั้น คณะผู้สังเกตการณ์ AOT รายงานการทำหน้าที่ของคณะผู้สังเกตการณ์ AOT ในห้วงที่ผ่านมา ก่อนจะเปิดเวทีให้สมาชิกได้แสดงท่าที โดยเริ่มจากประเทศคู่กรณี คือ ไทย และกัมพูชา แต่จะจัดลำดับการพูดตามตัวอักษร ดังนั้น กัมพูชา จึงเป็นฝ่ายพูดก่อน ตามด้วยไทย และฟิลิปปินส์ ในฐานะประธานอาเซียนปีต่อไป แล้วจึงจะเริ่มให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเริ่มพูดตามตัวอักษรอีกครั้ง จนปิดการประชุม ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม.ตั้งแต่เวลา 12.00 น.-13.30 น. โดยจะไม่มีแถลงการณ์หรือผลการประชุมอย่างเป็นทางการ แต่อาจมีถ้อยแถลงของประธาน คือ มาเลเซีย
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





