เหล่าทัพ หมดความอดทน ย้ำปกป้องอธิปไตย จัดการเขมรให้สิ้น
เหล่าทัพ ยก 5 เหตุผล ตอบโต้เขมรตามหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ย้ำหมดความอดทน จำเป็นต้องปกป้องอธิปไตย ทวงคืนพื้นที่ ลั่นสันติภาพนั้นจะต้องมาพร้อมกับความปลอดภัย
ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นำโดย พลเรือตรีสุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม,พลอากาศโท จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ,พันเอกริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก, พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ และพล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกันแถลงข่าว ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
โดยพลเรือตรีสุรสันต์ กล่าวว่า จากกรณีเหตุปะทะเมื่อวานนี้ (8ธ.ค.68) ฝ่ายกัมพูชา มีการโจมตีอย่างต่อเนื่อง ทั้งอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง และมีการใช้ BM 21 เข้ามาโจมตียังพื้นที่พลเรือน ส่งผลให้ต้องอพยพ ประชาชนไปยังศูนย์พักพิง ขณะที่ฝ่ายกัมพูชามีลักษณะการเคลื่อนย้ายอาวุธยิงระยะไกล เข้ามาในพื้นที่ของไทย
ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงการณ์ ให้กับคณะทูต ตลอดจนองค์กรระหว่างประเทศจำนวน 73 ประเทศ ไปแล้วโดยเน้นย้ำในเรื่อง 5 ประเด็นสำคัญซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ไทยไม่สามารถอดทนอดกลั้นจากสถานการณ์ดังกล่าวได้คือ
1 สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า การกระทำแบบเดิมของกัมพูชา รุกรานไทย รวมถึงการยั่วยุในรูปแบบต่างๆ การรอบวางทุ่นระเบิดของกัมพูชา ถึงแม้ว่ากัมพูชาจะพยายามสร้างภาพเรียกร้องสันติภาพ แต่กลับเป็นฝ่ายยั่วยุต่างๆก่อนเสมอ
2.ไทยมุ่งมั่นปกป้องอธิปไตย และ บูรณภาพดินแดน เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องดำเนินการทางทหารจนถึงที่สุดเพื่อปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน
3.ประชาชนคนไทยหมดความอดทน อดกลั้น ต่อการดำเนินการของกัมพูชาที่ไม่ได้คำนึงถึงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของประเทศไทย รวมถึง การที่คนไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคามกับความปลอดภัยครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นรัฐบาลไทย จึงต้องใช้ให้ความสำคัญสูงสุดในการปกป้องอธิปไตยและประชาชนทั้งชีวิตและทรัพย์สินจนกว่าอธิปไตยและบูรณภาพดินแดนของไทยจะไม่ถูกคุกคาม
4. ท่าทีของไทยรวมถึงการปฏิบัติการทางทหารจะดำเนินไปจนกว่า กัมพูชาต้องเปลี่ยนแปลงจุดยืนเช่นการกลับเข้ามาสู่ทางเดินสันติภาพที่แท้จริง
ประเด็นสุดท้ายกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงต่างๆ รวมถึงข้อตกลงหยุดยิง และ ถ้อยแถลงร่วมที่ได้มีการลงนาม ที่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซีย ที่ผ่านมาด้วย ซึ่งทั้ง 5 ประเด็นสำคัญ ที่ทำให้ไทยหมดความอดทนอดกลั้น ทำให้จำเป็นต้องตอบโต้การยิงของฝ่ายกัมพูชา
ทั้งนี้ยืนยันว่า ฝ่ายไทยดำเนินการต่างๆ ตามหลักมนุษยธรรม โดยยึดหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ที่มีเป้าหมายเพื่อจำกัดความรุนแรงของการปะทะโดยเน้นการคุ้มครอง พลเรือนผู้บาดเจ็บ แยกแยะเป้าหมายความเป็นสัดส่วนและความจำเป็นทางทหาร ต่างจากอาวุธที่ทางฝ่ายกัมพูชาใช้โดยสิ้นเชิง ที่ได้ส่งผลเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนผู้บริสุทธิ์
การปฏิบัติการทางฝ่ายไทย เป็นการปฏิบัติที่เน้นในเรื่องของการโจมตีเป้าหมายทางทหารเพื่อริดรอนขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชาเท่านั้น ขณะที่การใช้อาวุธของกัมพูชายังคงเป็นลักษณะในการมุ่ง ไปยังเป้าหมายของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ และสถานที่พลเรือน สถานพยาบาลต่างๆ
ซึ่งเป็นการมุ่งหวังให้เกิดความโกลาหลและตื่นตระหนกของประชาชนผู้บริสุทธิ์ พร้อมเน้นย้ำว่า ไทยต้องการสันติภาพ แต่สันติภาพนั้นจะต้องมาพร้อมกับความปลอดภัยและความมั่นคงของประชาชนเป็นสำคัญ
พันเอกริชฌา ชี้แจงว่า ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชายังคงปะทุและขยายวงกว้างครอบคลุมพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และสระแก้ว ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธครบทุกประเภท รวมถึงปืนใหญ่ จรวดหลายลำกล้อง โดรนทิ้งระเบิด และทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งยังตรวจพบในหลายจุดระหว่างการเคลียร์พื้นที่เช้าวันนี้
กองทัพบก ยืนยัน การปฏิบัติเป็นไปตามแผนเผชิญเหตุ เน้นป้องกันตนเอง ยึดคืนพื้นที่ถูกรุกล้ำอธิปไตย และทำลายศักยภาพการโจมตีของกัมพูชาเพื่อยุติภัยคุกคามในระยะยาว
ผลการปฏิบัติที่สำคัญ ได้แก่ กองทัพภาคที่ 2 ทำลายตึกคาสิโนร้างในพื้นที่ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี ซึ่งถูกใช้เป็นฐานปล่อยโดรนและอาวุธสนับสนุน รวมถึงทำลายเสาสัญญาณใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
อีกทั้งกวาดล้างพื้นที่รุกล้ำบริเวณช่องระยีและผลักดันกำลังทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ปราสาทคนา จ.สุรินทร์ แม้ยังไม่สามารถควบคุมพื้นที่ทั้งหมดได้เนื่องจากมีการวางทุ่นระเบิดจำนวนมาก ขณะเดียวกันที่ปราสาทตาควายสามารถทำลายระบบส่งเสบียงของฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จ
ด้านกองทัพภาคที่ 1 เปิดปฏิบัติการผลักดันในพื้นที่ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว สามารถทำลายที่มั่นบางส่วนและควบคุมพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้วได้แล้ว โดยระหว่างการกวาดล้างพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PM-2 เพิ่มเติม
การสู้รบตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค. จนถึงปัจจุบัน ทำให้กำลังพลไทยเสียชีวิต 3 นาย และบาดเจ็บ 29 นาย กองทัพบกยืนยันให้การดูแลและเยียวยาครอบครัวผู้เสียสละตามสิทธิครบถ้วน
ด้านพลเรือตรี ปารัช ชี้แจงว่า กองทัพเรือได้เปิดปฏิบัติการทางทหารช่วงเช้ามืดวันนี้ (9 ธ.ค.68) เพื่อขับไล่กำลังทหารกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่บ้านหนองรี หรือ “บ้าน 3 หลัง” พื้นที่พิพาทชายแดน จ.ตราด หลังพบการยึดพื้นที่ซ้ำและพฤติกรรมยั่วยุอย่างต่อเนื่องจากฝ่ายกัมพูชา ทั้งการลาดตระเวนถี่ขึ้นและการใช้โดรนบินรบกวน แม้ไทยจะพยายามเจรจาให้ถอนกำลังหลายครั้งแต่ไม่เป็นผล
โดยการปฏิบัติการเริ่มเวลา 05.30 น. กองทัพเรือได้เข้ารื้อบ้าน 3 หลัง ที่เป็นสัญลักษณ์ของการรุกล้ำและยึดคืนพื้นที่ ขณะเดียวกันพบว่าฝ่ายกัมพูชาได้ถอนกำลังออกไปก่อนหน้า แต่ยังมีรายงานการเคลื่อนกำลัง กลับเข้ามาใหม่บางส่วน ล่าสุดการปะทะยังไม่สิ้นสุด แต่คาดว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในเร็ววัน โดยได้มีคำสั่งอพยพประชาชนตั้งแต่ช่วงบ่ายวานนี้ เพื่อความปลอดภัยก่อนเริ่มปฏิบัติการในช่วงเช้ามืดของวันนี้
ส่วนพลอากาศโท จักรกฤษณ์ เปิดเผยถึงการปฏิบัติภารกิจเช้าวันที่ 8 ธ.ค. เริ่มตั้งแต่เวลา 07.00 น. เป็นการปฏิบัติการร่วมกับกองกำลังสุรนารีและกองทัพบก เพื่อรับมือสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดน โดยภารกิจของกองทัพอากาศมุ่งตอบโต้และหยุดยั้งการคุกคามต่ออธิปไตยไทย เน้นโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหาร ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและต่อประชาชนในพื้นที่ พร้อมกับวางแผนประสานร่วมกันระหว่าง 3 เหล่าทัพ เพื่อให้การตอบโต้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและจำกัดผลกระทบต่อพื้นที่พลเรือนมากที่สุด
การโจมตีจะยังคงดำเนินต่อเนื่อง ตราบใดที่ฝ่ายกัมพูชายังไม่ยุติการกระทำที่เป็นภัยคุกคาม ขณะเดียวกันกองทัพอากาศยืนยันว่าจะสนับสนุนการปฏิบัติการของกองทัพบกและกองทัพเรืออย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ภารกิจทางทหารของไทยบรรลุผล พร้อมสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนว่าได้ดำเนินงานอย่างรอบคอบและเต็มความสามารถ
ขณะที่ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ระดมกำลังสนับสนุนการดูแลความปลอดภัยประชาชนในพื้นที่ชายแดน ตามแผน “พิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง” หลังสถานการณ์ตึงเครียด จากความขัดแย้งไทย–กัมพูชา โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้ดำเนินมาตรการสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่
1. รักษาความสงบและความมั่นคงภายใน ตั้งจุดตรวจ–จุดสกัด ดูแลพื้นที่อพยพ และสนับสนุนหน่วยงานความมั่นคงทุกมิติ
2. การอพยพและด้านมนุษยธรรม อำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ พร้อมจัดส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์อย่างต่อเนื่อง
3. การจราจร ปิดเส้นทางเสี่ยง เพื่อเร่งอพยพประชาชนไปสู่พื้นที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุด
4. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จัดกำลังตำรวจเฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุอาชญากรรมซ้ำเติม รวมถึงดูแลสัตว์เลี้ยงและทรัพย์สินด้านการเกษตรของประชาชน
ความสูญเสีย มีตำรวจตระเวนชายแดน 4 นายได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดระหว่างปฏิบัติหน้าที่แนวหน้า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำชับให้ดูแลสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่ พร้อมขอให้เจ้าหน้าที่ทุกนายปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





