“ณัฐพงษ์”ทำนาย”แพทองธาร”เจอแน่! พรรคร่วมขู่ถอนตัวซ้ำซาก

“ณัฐพงษ์” ขอบคุณขึ้นอันดับ 1 โพลนายกฯ เตือนม็อบอย่าเป็นเครื่องมือรัฐประหาร ขณะ ทำนาย “แพทองธาร” เจอแน่! พรรคร่วมฯ ขู่ถอนตัวซ้ำซาก จี้ ยุบสภา

 

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงผลนิด้าโพล ระบุตนได้รับความนิยมสูงสุดในการเป็นนายกรัฐมนตรีว่า ขอบคุณประชาชนที่มอบความไว้วางใจ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า คะแนนนิยมของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ร่วงลงอย่างมาก เป็นผลจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศ และการสูญเสียความเชื่อมั่นของประชาชน

 

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ผลโพลที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ได้รับความนิยมสูงเป็นอันดับ 3 อาจสะท้อนว่า ประชาชนบางส่วนเริ่มมองหาผู้นำที่ “เข้มแข็ง” และน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา แต่ก็เตือนว่าอาจนำไปสู่การย้อนกลับไปสู่กระบวนการนอกระบอบประชาธิปไตย เช่น การรัฐประหาร ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นอีก

 

นายณัฐพงษ์ เตือนกลุ่มผู้ชุมนุมว่า อย่าตกเป็นเครื่องมือของแกนนำบางกลุ่มที่มีเป้าหมายเรียกร้องให้เกิดการรัฐประหาร โดยย้ำว่า แม้สิทธิในการชุมนุมเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชน แต่การ ไม่เข้าร่วมการชุมนุมที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกชี้นำก็ถือเป็นสิทธิที่พึงมีเช่นกัน พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายมีสติและยึดหลักประชาธิปไตย

 

นายณัฐพงษ์ เสนอทางออกว่า ประเทศไทยควรมีผู้นำใหม่ที่มีประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมั่นได้มากกว่าเดิม พร้อมย้ำหลักการ 2 ข้อสำคัญ คือ 1.ประเทศต้องการรัฐบาลที่มีศักยภาพ ซึ่งไม่ใช่ น.ส.แพทองธาร 2.ต้องปฏิเสธทุกกระบวนการนอกระบบ ไม่ว่ารูปแบบใด

 

ขณะเดียวกัน นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวถึงสถานการณ์การเมืองภายใต้รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ว่า รัฐบาลชุดนี้มีปัญหาเสียงปริ่มน้ำ ซึ่งจะกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญตลอดทั้งวาระ โดยพรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรคจะทยอยออกมา “ส่งคำขู่” และใช้เป็นเงื่อนไขต่อรองผลประโยชน์ในการโหวตสำคัญในสภา โดยเฉพาะการพิจารณากฎหมาย ซึ่งแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไป ทุกครั้งที่มีการลงมติสำคัญ จนส่งผลให้การบริหารราชการแผ่นดินไม่มีเสถียรภาพ พรรคประชาชนจึงเสนอว่า ทางออกที่ดีที่สุดขณะนี้คือ การยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจ เลือกผู้นำและรัฐบาลใหม่ที่มีความชัดเจนและได้รับฉันทามติจากประชาชนอย่างแท้จริง

 

 

ส่วนความเสี่ยงทางการเมือง หากรัฐบาลเดินหน้าต่อ นายณัฐพงษ์เตือนว่า “อุบัติเหตุทางการเมือง” มีความเป็นไปได้สูงมาก ไม่ใช่แค่ภาวะเสียงปริ่มน้ำ แต่รวมถึงความล้มเหลว ในการประสานพรรคร่วมฯ และการบริหารที่อาจถูกชะลอหรือหยุดชะงักจากแรงกดดันทางการเมืองเรื่อยๆ