ส่งออกไทยดีเวอร์ โดนสวมสิทธิ จับผิดสินค้าจีน
การส่งออกไทยในปี 2568 มีความท้าทายเป็นอย่างมากจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ครึ่งปีหลังเสี่ยงสูงหากถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าประเทศคู่แข่ง
การส่งออกไทยในปี 2568 มีความท้าทายเป็นอย่างมาก อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ แถมในช่วงครึ่งปีหลังก็มีความเสี่ยงที่จะหดตัวอย่างมีนัยสำคัญ หากถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าประเทศคู่แข่ง โดย ณ ขณะนี้ ไทยยังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาภาษีกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ส่วนหลายประเทศในภูมิภาคเริ่มการเจรจาแล้ว อาทิ เวียดนาม มาเลซีย และอินโดนีเซีย ส่งผลให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการภาพรวมการส่งออกไทยในปี 2568 อยู่ที่ ลบ 0.5%
ขณะที่ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ระบุว่า เริ่มเห็นสัญญาณความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น สะท้อนจากไทยเกินดุลการค้ากับ สหรัฐฯ ลดลง และขาดดุลการค้ากับจีนสูงขึ้น โดยไทยนำเข้าสินค้าเดือน เม.ย. 68 จากจีนโต 39%YOY ส่วนสหรัฐฯ โต 25%YOY ไทยส่งออกสินค้าเดือน เม.ย. 68 จากจีนโตแค่ 3%YOY ส่วนสหรัฐฯ โต 24%YOY
ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตุที่น่าสนใจสำหรับตัวเลขการส่งออกไทยไตรมาส 1 ปี 2568 มีมูลค่าสูงถึง 81,532 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 15.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีที่แล้วสวนทางกับตัวเลขดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ยังคงชะลอตัวลง นำมาสู่ข้อสังเกตุที่ว่าตัวเลขการส่งออกที่ดีนั้น แท้จริงแล้วเป็นการสวมสิทธิการส่งออกหรือไม่
ข้อสังเกตุดังกล่าวมาจาก “รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ” คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ระบุว่า แม้การส่งออกไทยในไตรมาสแรกจะขยายตัว 15.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีที่แล้ว แต่น่าสังเกตว่า จีดีพีการผลิตอุตสาหกรรมไตรมาสแรกขยายตัวเพียง 0.6% ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงชะลอตัวลง อัตราการใช้กำลังการผลิตของบางอุตสาหกรรมส่งออกยังคงต่ำว่า 60% จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ตัวเลขส่งออกนั้น ดีกว่าความเป็นจริง อันเป็นผลจากการสวมสิทธิการส่งออก สินค้าจากต่างประเทศเข้ามาสวมสิทธิไทย ในการส่งออกสะท้อนการบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ ต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและจริงจัง
ขณะเดียวกัน กลุ่มอุตสาหกรรมของไทยยังเผชิญกับปัญหาสินค้าทุ่มตลาด (Dumping)และการตีตลาดจากสินค้าจีนอย่างต่อเนื่อง สินค้าที่ทะลักเข้ามาได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาคการผลิตกว่า 23 อุตสาหกรรม ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ เหล็ก อลูมิเนียม เครื่องจักรกลการเกษตรเยื่อกระดาษ เซรามิก ปูนซีเมนต์ หนังและผลิตภัณฑ์หนัง เป็นต้น
ส่วนปัญหาจีนเทานั้น รศ. ดร. อนุสรณ์ กล่าวว่า ต้องเร่งแก้ไขก่อนที่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสังคมมากขึ้น เรื่อย ๆ ปัญหาจีนเทานั้นเป็นภาพสะท้อนของปัญหาการบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทย การเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมาย จึงเป็นทางแก้ที่สำคัญที่สุด ทั้ง กฎหมายฟอกเงิน กฎหมายประกอบธุรกิจคนต่างด้าว นอกจากนี้ต้องจัดการกับปัญหานอมินีและบัญชีม้านิติบุคคล กลั่นกรองการขอรับสิทธิประโยชน์การลงทุน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คุมเข้มสินค้านำเข้าคุณภาพต่ำและผิดกฎหมาย พร้อมกับ บูรณาการระบบข้อมูล เพื่อใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหาให้ดีขึ้น เราสามารถเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ด้วยการยกเลิกกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นและการจัดการแก้ปัญหาจีนเทาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





