Home
|
ทั่วไป

ปิดทองฯจับมือ8องค์กรจัดเสวนา”อยู่รอดและยั่งยืนหลังโควิด”

Featured Image
มูลนิธิปิดทองหลังพระ จับมือ 8 องค์กร ชี้ แนวพระราชดำริ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน “อยู่รอดและยั่งยืนหลังโควิด”

 

 

มูลนิธิปิดทองหลังพระ ร่วมกับ 8 องค์กร จัดงานเสวนา อยู่รอดและยั่งยืนหลังโควิด-19เพื่อระดมผู้รู้ในหลากหลายสาขาและผู้มีประสบการณ์มาร่วมช่วยกันเสนอทางออกให้กับสังคมไทยที่ต่างได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดใหม่พร้อมนำความรู้และทักษะที่มีอยู่รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีมาปรับใช้ในการทำอาชีพใหม่จนกระทั่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ที่สำคัญได้นำแนวพระราชดำริ”หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”มาปรับใช้ด้วย

 

 

ดร.วิรไท สันติประภพ กรรมการมูลนิธิปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าวในหัวข้อเสวนา“ใครจะอยู่รอดในสังคม และจะอยู่รอดอย่างไรที่ยั่งยืน”ว่าคงไม่มีคำตอบที่ฟันธงได้ชัดเจนว่า ใครจะอยู่รอดในสังคม และจะอยู่รอดอย่างไรที่ยั่งยืนเพราะโลกมีความไม่แน่นอนสูง มีความผันผวนสูง แต่วิกฤติโควิดครั้งนี้ไม่ใช่วิกฤติครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของไทย เนื่องจากเคยเผชิญมาแล้วเมื่อปี 2540 เพียงแต่ครั้งนี้กระทบวิถีชีวิตของทุกคน ใครจะอยู่รอด ใครจะยั่งยืนอยู่ที่ว่าใครจะสามารถปรับตัวให้รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงนั้นได้ ซึ่งจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันในหลากหลายรูปแบบหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่9 หลักสำคัญคือ พอประมาณ สมเหตุสมผล และสร้างภูมิคุ้มกัน จะเห็นได้ว่าวิกฤติรอบนี้ สิ่งที่จะต้องเน้นคือมิติที่ 3 การสร้างภูมิคุ้มกัน เนื่องจากโลกในวันข้างหน้าไม่แน่นอน และมีความผันผวนสูง จึงต้องสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมกับหลักคุณธรรม ทั้งอดทน วิริยะ ซื่อสัตย์และมีรอบรู้ และในโลกแห่งความเป็นจริง จะมีอาชีพเดียวไม่ได้ จะต้องกระจายความเสี่ยง และต้องปรับตัว และสนับสนุนประชาชนในท้องถิ่นที่ต้องการการ reskill และ upskill เพื่อให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต

 

 

 

 

ขณะ ศ. ดร.ชาติชาย ณ เชียงใหม่ ที่ปรึกษาสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริกล่าวว่าจะต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง และให้ภาครัฐร่วมคิดร่วมสนับสนุนเท่านั้นที่ผ่านมาองค์กรปกครองท้องถิ่นยังไม่ค่อยได้ช่วยดูแลชุมชนในเรื่องเศรษฐกิจมากนักดังนั้นภาครัฐควรเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นเข้ามาดูแล โดยเฉพาะเรื่องอาชีพการทำมาหากิน ตามแนวพระราชดำริในเรื่องต่างๆของในหลวง รัชกาลที่9

 

 

ด้าน รศ. ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำกัด(มหาชน)ได้ชี้ให้เห็นภาพในปัจจุบันและอนาคตว่า โลกเปลี่ยนไปมาก ดังนั้นจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีปฏิบัติใหม่ ซึ่งมี3 องค์ประกอบสำคัญคือ ใช้ความรู้ที่เปลี่ยนไป,ใช้ความสามารถที่เปลี่ยนไปและต้องใช้เครื่องมือที่เปลี่ยนไป โดยอาศัยคีย์เวิร์ดที่สำคัญ คือเรียนรู้ ยอมรับและปรับตัวรวมถึงต้องยืดหยุ่นให้มากรวมถึงแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่9 ที่พระราชทานไว้ให้ ซึ่งจะต้องให้น้ำหนักมากขึ้นคือ การเติบโตพัฒนาต้องมาจากฐานรากที่มั่นคง และการเติบโตพัฒนาจะต้องเกิดจากการระเบิดจากข้างใน พูดง่ายๆคือ การที่แต่ละคนมีของ จะทำให้เราสามารถอยู่รอดต่อไปได้

 

 

ขณะ ดร.ณชา อนันต์โชติกุล ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงของโลก บวกกับสถานการณ์โรคโควิด-19รวมทั้งปัญหาโครงสร้างเดิมของสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำ และปัญหาสิ่งแวดล้อม ยิ่งซ้ำเติมผู้คนในสังคมไทยมากขึ้นเนื่องจากที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยเติบโตแบบไม่สมดุลต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการท่อ่งเที่ยวหรือการส่งออกเมื่อมาเจอวิกฤติโควิด-19จึงปรับตัวไม่ทันทั้งภาคการผลิตและภาคแรงงานก็ยังอยู่ในโลกยุคเก่าจึงเกิดปัญหาในการพัฒนาและสร้างรายได้นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบไปถึงเด็กจบใหม่และคนทำงานบางส่วนที่จะต้องออกจากงานประจำ ดังนั้นต้องตระหนักรู้ ยอมรับปัญหาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง และต้องทำความเข้าใจว่าจะอยู่อย่างเดิมไม่ได้ ต้องปลดล็อกเพื่อเพิ่มศักยภาพของตัวเอง เชื่อว่าคนไทยเก่ง และพร้อมที่จะปลดปล่อย ถ้าได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งเห็นด้วยกับประโยคที่ปิดทองฯนำเสนอคือ คิดรู้ เรียนรู้ ทำรู้ โดยจะต้องลงมือทำให้เกิดขึ้นจริง

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube