“ทนายตั้ม” อ้างรองเลขาปปง.หิ้ว 6 ล.ให้ “ชูวิทย์”
“ทนายตั้ม” อ้างรองเลขาปปง.หิ้ว 6 ล.ให้ “ชูวิทย์” ปัดดิสเครดิตเมินโดนฟ้อง
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม แถลงเปิดโปงนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ว่ารับเงินจากเว็บพนันออนไลน์จากอดีตข้าราชการตำรวจเพิ่มเติมว่า นายชูวิทย์ มีความสนิทสนมกับอดีตตำรวจ 2 นายที่เกษียณราชการไปแล้ว มีนายหนึ่งเคยเป็นผู้บังคับการภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนอีกนายเคยดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินหรือ ปปง.ซึ่งตัวเองก็รู้จักกันดี เพราะเป็นผู้ทำคดี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ และยังมีความสนิทสนมกับสารวัตรซัวชนิดที่ไปไหนมาไหนกันได้
โดยอดีตตำรวจนายนี้เองเป็นผู้นำเงินสารวัตรซัวมามอบให้นายชูวิทย์ เพื่อปิดปากการแฉเรื่องลาลิซ่าอาบอบนวดด้วยตัวเอง ซึ่งในวันนั้น นอกจากตำรวจสองนาย ยังมีเจ้าของบ่อนการพนันย่านพระราม 3 ที่มีตำรวจถูกยิงเสียชีวิตเมื่อ 2 ปีก่อน เป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย โดยเรื่องนี้ น่าเชื่อได้ว่าอดีตตำรวจทั้งสองนายนี้ได้รับอนุญาตจากสารวัตรให้นำเงินมามอบกับนายชูวิทย์ โดยรูปถุงเงินดังกล่าวนั้น เป็นการส่งงานให้กับเจ้าของเงินอีกครั้ง โดยผู้นำมาให้ต้องการแสดงให้เห็นว่าเงินถึงมือแล้ว
นายษิทรา ยังระบุ ส่วนตัวยังมองว่า หากนำเรื่องดังกล่าวไปร้องเรียนกับหน่วยงานที่เคยเป็นต้นสังกัดของอดีตตำรวจทั้งสองนาย การตรวจสอบก็คงไม่เกิดขึ้น แต่ขณะนี้กำลังเตรียมทำเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบในวันพรุ่งนี้ ยืนยันว่าเจตนาที่ออกมาแฉนั้น เพราะต้องการทำให้รองเลขาฯ ปปง.ออกจากราชการให้ได้ และจะให้ตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินสกุลดิจิตัลกว่า 50 ล้านบาท ที่โอนเข้าไปให้ลูกชายนายชูวิทย์ ซึ่งตัวเองพร้อมไปให้ข้อมูลด้วยตัวเอง
พร้อมยืนยันว่าตนเองไม่รู้จักหรือเกี่ยวข้องกับสารวัตรซัว ก่อนจะโพสต์ภาพทำบุญและสาปแช่งผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะตัวเองไม่ยุ่งกับคนเหล่านี้ พร้อมสาบานหากตนรับเงินจากฝ่ายใดก็ตามมาโจมตีนายชูวิทย์ ขอให้ตัวเองล่มสลายและมีอันเป็นไป ส่วนพรรคการเมืองที่นายชูวิทย์ โจมตีอยู่นั้นก็ยังฟ้องร้องตัวเองเช่นกัน ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเมือง
แต่สาเหตุที่ตัวเองนำเรื่องราวมาเปิดเผยด้วยวิธีนี้ไม่ไปพูดคุยกับนายชูวิทย์ก่อน มองว่าหากนำหลักฐานต่างๆ ไปนั่งพูดคุยกันโดยตรง นายชูวิทย์ ก็คงไม่ยอมรับ ตนเพียงแค่อยากให้ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำเท่านั้น ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ขอแนะนำว่า หากไม่มีหน่วยงานใดรับเงินบริจาคสีเทาดังกล่าว ขอให้ไปคืนกับอดีตสองตำรวจที่นำมาให้จะดีที่สุด
สำหรับประเด็นที่นายชูวิทย์ ฟ้องร้องเอาผิดฐานหมิ่นประมาท พร้อมเรียกค่าเสียหายคดีละ 100 ล้านบาทนั้น นายษิทรา ยืนยันพร้อมจะพิสูจน์ตามขั้นตอนกฎหมาย หากแพ้คดีก็ต้องฟ้องร้องให้ตนล้มละลายเพราะไม่มีเงินขนาดนั้น ส่วนตัวเองก็นับถือทนายอนันตชัย ไชยเดช ในฐานะรุ่นพี่ ไม่มีความกังวลใดเพราะตนไม่เคยแพ้คดีหมิ่นประมาท
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าตนเอง จับมือกับนายเอกภพ เหลืองประเสิร์ฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เพื่อถล่มพรรคภูมิใจไทยนั้น นายษิทรา ยอมรับว่าเพิ่งรู้จักกับนายเอกภพ ไม่นาน ก่อนนัดหมายไปทานข้าวร่วมกันกับคนมีชื่อเสียง จนมีมีภาพไปปรากฎตามสื่อโซเชียลต่างๆ ยืนยันไม่เคยนำเรื่องดังกล่าวไปพูดคุยกับนายเอกภพ เพราะเกรงจะถูกนำไปเปิดเผยก่อน
นายษิทรา กล่าวถึงกรณีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ แจ้งความสองอดีตตำรวจดังกล่าวว่า ตัวเองขอชื่นชมที่กล้าออกมาเปิดเผยข้อมูล และขอขอบคุณ ซึ่งอาจเป็นครั้งเดียวหรือครั้งสุดท้าย เพราะที่ผ่านมาไม่เคยยอมรับการทำงานของนายอัจฉริยะ เพราะเคยมีคดีฟ้องร้องกันอยู่
สำหรับกรณีคณะกรรมการจเรตำรวจเรียกไปให้ข้อมูลเรื่องนายพล จ.ซึ่งเกี่ยวข้องกับสารวัตรซัวนั้น ได้มีการนัดหมายวันที่แล้ว แต่พอถึงวันนัด ทางคณะกรรมการได้ขอเลื่อน ออกไปก่อนและจนถึงทุกวันนี้ยังไม่ติดต่อให้เข้าไปชี้แจงอีก โดย นายษิทรา ได้ต่อสายโทรศัพท์ถึง1ในคณะกรรมการขณะให้สัมภาษณ์ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าสิ่งที่ตนเองพูดนั้นเป็นเรื่องจริง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





