ตัดแทรกในจังหวะการเมืองกำลังถก ว่าด้วยเรื่องผลกระทบ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรับจบ “คดีคนชั้น 14” ที่ต้องรอดูท่าทีของ“ทักษิณ” ผู้นำจิตวิญญาณเพื่อไทย ว่าจะเตรียมทางหนีทีไล่อย่างไรกับเรื่องนี้ พลันก็มี2ประเด็นที่ เชื่อมโยงกัน ที่หลายฝ่ายทางการเมืองและฝ่ายความมั่นคง สนใจติดตาม กับ ปม อัยการ สั่งไม่ฟ้อง คดีมี.112“พอล แชมเบอร์ส” นักวิชาการชาวอเมริกาจาก มหาวิทยาลัยนเรศวร กับปม ผังไอโอกองทัพ ที่เคยถูกนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่กลับมาปรากฏใน ในการซักถามฝ่ายกองทัพใน ที่ประชุม ของกรรมาธิการความมั่นคงฯ เมื่อวาน(1/5/68)

ยังหายใจหายคอต่อไปได้อีก1 เดือน สำหรับ “ทักษิณ ชินวัตร” “พ่อนายกอิ๊งค์”รวมถึงบรรดาผู้เกี่ยวข้อง กับกระบวนการ “คนชั้น14”ไล่เรียงตั้งแต่ รมว.ยุติธรรม ,อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ไปจนถึง “ผอ.โรงพยาบาลตำรวจ” แพทย์ที่รักษา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง หลังจากที่วันนี้(30เม.ย.)แม้ “ศาลฏีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะยกคำร้อง“นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์”ที่ร้องให้ให้เพิกถอนคำสั่งศาล เหตุ ผู้ร้องไม่ใช่คู่ความ ไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการบังคับโทษจำคุกแก่จำเลยคือ “ทักษิณ”ในคดี รวมถึงยกคำร้อง ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาล แต่ศาลก็ยังจะทำการไต่สวนคดีนี้ ว่า โจทก์และจำเลยคืออัยการและ “ทักษิณ”แจ้งต่อตามว่าข้อเท็จจริง ตามที่กล่าวอ้างในคำร้อง หรือไม่ อย่างไร

กำลังบานปลายกลายเป็นประเด็นใหญ่ระหว่างประเทศในจังหวะนรกที่ “รัฐบาลไทย”ของ “นายกฯอิ๊งค์” ภายใต้การแนะนำของพ่ออย่าง“ทักษิณ ชินวัตร”กำลังแต่งคณะ “ทีมไทยแลนด์” ไปเจรจา“ภาษีทรัมป์” ที่เพิ่งถูกเลื่อนมาจากวันที่ 23เม.ย.อย่างคลุมเครือในเหตุผลของรัฐบาล ที่ “ทักษิณ”เพิ่งอธิบายทำนองเดียวกัน กับ “2พิชัย”รมว.คลัง และ รมว.พาณิชย์คือให้ใจเย็นรอจังหวะเหมาะให้ “ประเทศใหญ่ๆ”คุยกับสหรัฐฯไปก่อน

การออกงานและให้สัมภาษณ์แบบชิล ๆ เมื่อวาน(27เม.ย.)ประหนึ่งมั่นใจว่า สามารถแก้ไขทุกสถานการณ์ได้ ของ “ทักษิณ ชินวัตร”พ่อ “นายกอิ๊งค์”ในจังหวะ “รัฐบาลเพื่อไทย” “นายกอิ๊งค์”รวมถึงตัว “ทักษิณ”เอง ที่มีทั้งคดีเก่าและคดีใหม่ ก็กำลังนัวกับ “ศึกใน-ศึกนอก”ทั้งเรื่อง “การบ้าน-การเมือง” ในภาวะบ้านเมือง อยู่ในโซนอันตรายจาก “ภาวะวิกฤติ”ซ้อนวิกฤติ จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีปัญหาอยู่แล้วถูกเติมด้วย “ภาวะความไม่แน่นอน”จาก“ศึกมหาอำนาจโลก”ระหว่างสหรัฐกับจีน ในยุค “ทรัมป์ คัมแบ็ค” ที่กำลังส่งผลกระทบทุกประเทศทั่วโลกกับ “ภาษีทรัมป์”อันเป็น “สัญญาน”“การจัดระเบียบโลกใหม่”ที่หลายประเทศหันมา “จัดทัพ”รับมือเดินหน้าเจรจาสหรัฐฯไปรอบแรกหมดแล้ว

“คดีคนชั้น14”ที่กลับมาสู่หน้าปัดข่าวรอบนี้ไม่ธรรมดาแบบ”รัฐบาลเพื่อไทย”ตั้งแต่ “ทักษิณ-นายกอิ๊งค์” มีเสียวสันหลัง กับการนัดไต่สวนและฟังคำสั่งของ“ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ในวันที่30เม.ย. จาก คดีที่ “ชาญชัย อิสรเสนารักษ์”อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ฟังคำสั่งในคำร้องที่ “ชาญชัย” ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (10 ม.ค.68) เพื่อขอให้ไต่สวน

ถูกจับตาว่าอาจกลายเป็น“สัญญานการเมือง”สถานีถัดไป ผ่าน “ภาษากาย”ของผู้เกี่ยวข้อง หาก “อาการป่วย” จนต้องเข้าแอดมิดโรงพยาบาลกลางดึกของ “นายกอิ๊งค์ แพทองธาร”จะเป็นเหตุผลเดียวกับ ภาพหลัง กลับจากเยือนกัมพูชาช่วงเย็นที่หลบเลี่ยงให้สัมภาษณ์กับ “นักข่าว”เพราะรู้ว่าจะเจอคำถามในเรื่องหนัก ๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการเจรจากับ “ฮุนมาเน็ต”ผู้นำกัมพูชา ที่ถูกระแวงจาก “ม็อบต้าน”จะมีเรื่อง MOU44 ที่โยงกับเรื่องผลประโยชน์พลังงานหรือไม่ หรือปมวิกฤติเศรษฐกิจจาก “ภาษีทรัมป์”ที่ไทยเลื่อนการส่ง “ทีมไทยแลนด์” ไปเจรจาจากวันที่ 23เม.ย.ออกไปอย่างไม่มีกำหนดจนถูกมองว่าล่าช้าเพราะประเทศในเอเซียทุกประเทศที่ผ่านการเจรจากับสหรัฐในรอบแรกไปแล้ว

ประเด็นข้อกังขา ทำไมจู่ๆรัฐบาลไทย(22เม.ย.) ประกาศเลื่อนในการส่ง “ทีมไทยแลนด์” ที่นำโดย “พันศักดิ์”หัวหน้าทีมที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก และ 2 พิชัย และ “ศุภวุฒิ สายเชื้อ”เดินทางไปสหรัฐ เพื่อเจรจารอบแรกกับ “ทีมทรัมป์”กับปม การขึ้นภาษีไทย 36% หรือ “ภาษีทรัมป์”ที่เดิม “นายกอิ๊งค์ แพทองธาร” แถลงไว้ว่าเป็นวันที่ 23เม.ย. กำลังบานปลายกลายเป็นความ “ไม่เชื่อมั่น”ในการสื่อสารข้อมูลกับประชาชนคนไทย ว่า ตกลง เป็นเพราะเหตุผลกลใดกันแน่ และตกลงได้มีการนัดหรือรับนัดของสหรัฐจริงหรือไม่ เพราะไม่เคยมีการออกมายืนยันจากฝั่งสหรัฐนอกจากการออกมาบอกของ “อิ๊งค์”หลังจากที่ “ทักษิณ”ไปให้สัมภาษณ์ไว้ ที่เรื่องนี้ แม้เมื่อวานสหรัฐจะมี “สัญญานบวก”ออกมาจาก รมว.คลัง มือขวาของ “ทรัมป์” และตัว “ทรัมป์”เอง กับท่าที “ลดสอบ”ความรุนแรงกับการทำสงครามการค้ากับจีน หลังจากที่เลื่อนการพิจารณา “กำแพงภาษี” กับทุกประเทศออกมาไปอีก 90 วัน แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ไทยจะยกเลิกไม่ไป “หยั่งเชิง” ดูหน้าไพ่สหรัฐในการเจรจารอบแรก อย่างที่หลายประเทศยังคงเดินหน้าเจรจา