สภาเตรียมพิจารณากระทู้ถามระเบียบผู้ต้องขังรักษานอกเรือนจำ
สภาเตรียมพิจารณากระทู้ถามรัฐบาล ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ ขณะ มีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน 2ฉบับ แต่ตีตกฉบับพรรคก้าวไกลฉบับ “ทำงาน-พักผ่อน-ใช้ชีวิต”
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันนี้ (7 มี.ค.67) หลังเปิดให้สมาชิกนำปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเข้าปรึกษาหารือแล้ว จากนั้นเป็นการพิจารณาวาระกระทู้ถามรัฐบาล โดยมีกระทู้ถามหลายเรื่องที่น่าสนใจ เช่น เรื่องการแก้ไขปัญหาการดำเนินคดีความกับพระสงฆ์ที่ต้องขาดสมณเพศในระหว่างดำเนินกระบวนการยุติธรรม , เรื่องขอทราบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ และเรื่องปัญหาการดำเนินงานของกองทุนประกันสังคม รวมทั้งพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาและลุ่มน้ำทะเลสาบอื่น ๆ อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังมีวาระพิจารณาเรื่องค้างพิจารณา รวม 35 เรื่อง เช่น ญัตติ เรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญติดตามผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาช้างป่าและศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาช้างป่าอย่างยั่งยืน และเรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาการดูแลเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้พิการ ในชุมชนแออัด
ขณะเดียวกัน การประชุมสภาฯ เมื่อวานนี้(6 มี.ค.) มีวาระสำคัญในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน จำนวน 4 ฉบับ ที่นายเซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล, นางสาววรรณวิภา ไม้สน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล, นายวรศิษฎ์ เลียงประสิทธิ์ สส.สตูล พรรคภูมิใจไทย เป็นผู้เสนอ ในวาระแรก
โดยร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ที่เสนอโดยนายเซียนั้น มีสาระสำคัญ อาทิ การเพิ่มคำนิยามการจ้างงานรายเดือน, การให้การจ้างงานมีความเท่าเทียมทุกด้าน และให้นายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่แสดงออกถึงการกีดกัน แบ่งแยก จำกัดสิทธิ หรือทำการอื่นใดให้ผู้อื่นไม่ได้รับสิทธิอันพึงได้ตามกฎหมาย รวมถึงการแก้ไขเพิ่มเติมให้เวลาทำงานของลูกจ้าง เมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้ว สัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 40 ชั่วโมง เว้นแต่เป็นงานอันตราย ที่จะต้องไม่เกิน 35 ชั่วโมง พร้อมเพิ่มบทบัญญัติที่นายจ้าง จะต้องจ้างงานเป็นรายเดือนทั้งหมด โดยไม่เลือกปฏิบัติ
เว้นแต่งานที่มีความเฉพาะไม่มีความต่อเนื่อง หรือไม่ใช่ธุรกิจหลักของนายจ้าง ให้ใช้ระบบสัญญาจ้างงานแบบกำหนดระยะเวลาโดยรับรองรายรับ ไม่ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ และให้ได้รับสวัสดิการเท่าเทียมกับพนักงานระบบอื่นของนายจ้าง
นอกจากนั้น ยังกำหนดให้ลูกจ้าง ที่ทำงานติดต่อกันมาแล้ว ครบ 120 วัน มีวันหยุดพักผ่อนประจำปีได้ไม่น้อยกว่า 10 วัน/ปี และมีสิทธิให้ลูกจ้าง มีสิทธิ์ลาไปดูแลครอบครัวที่ป่วยได้ปีละไม่เกิน 15 วัน รวมถึงจะต้องมีห้องให้นมบุตร หรือเก็บน้ำนมในที่ทำงาน พร้อมการแก้ไขหลักเกณฑ์การปรับค่าจ้าง ให้เหมาะต่อค่าครองชีพ และเพียงพอต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตามการประกาศของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ อัตราเงินเฟ้อของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อเปลี่ยนชีวิตแรงงานให้ “มีเวลาทำงาน พักผ่อน และใช้ชีวิต”
ขณะที่ ร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่พรรคภูมิใจไทยเสนอนั้น มีการแก้ไขเพียงวันลาคลอดได้ ไม่เกิน 98 วัน โดยให้รวมวันลาตรวจครรภ์ก่อนลาคลอดด้วย และให้นายจ้างจ่ายค่าแรงเต็มตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน 49 วัน แต่ให้ลูกจ้างชาย สิทธิลาเพื่อช่วยเหลือภรรยาที่ลาคลอด ตามที่ตกลงในสัญญาจ้างงานด้วย
สำหรับการอภิปรายของ สส.นั้น สส.ฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ต่างสนับสนุนให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร รับหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานทั้ง 3 ฉบับ ที่จะช่วยให้แรงงานได้รับความเท่าเทียม ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง
แต่การอภิปรายของ สส.พรรคร่วมรัฐบาลส่วนใหญ่ กลับไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ที่เสนอโดยพรรคก้าวไกล โดยเห็นว่า นวัตกรรมใหม่ ๆ ในร่างกฎหมายที่พรรคก้าวไกลเสนอ หากฟังแล้ว อาจดูดี เป็นประโยชน์ต่อแรงงานทั้งประเทศ แต่อาจกลับกลายเป็นลูกกวาดอาบยาพิษ หรือเป็นเพียงเหรียญด้านเดียว ที่มาตรการตามกฎหมายที่พรรคก้าวไกลเสนอมานั้น ทั้งวันลาไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่ป่วยได้ จะกลายเป็นภาระให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก-รายน้อย SMEs ร้านอาหาร หรือโรงแรม ฯลฯ ที่จะต้องแบกรับต้นทุนวันหยุดของแรงงาน ที่เป็นต้นทุนกว่า 20% จนอาจกระทบต่อกิจการ และต้องปิดตัวลง และแรงงานอาจจะถูก Disruption เพราะผู้ประกอบการหันไปใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อขีดการแข่งขันของประเทศด้วย
ทั้งนี้ ภายหลังการอภิปรายเสร็จสิ้น นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ได้เสนอให้ที่ประชุมแยกลงมติรายฉบับ เนื่องจากร่างกฎหมายที่เสนอโดยนายเซียนั้น มีเนื้อหาที่ไม่เหมือนเพื่อน แต่นาวสาววรรณวิภา ได้เสนอให้ที่ประชุมลงมติพร้อมกันในคราวเดียว 3 ฉบับ เนื่องจากเนื้อหาของกฎหมายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อคุ้มครองแรงงาน แต่ที่สุดแล้ว ที่ประชุมมีมติเสียงข้างมาก 255 เสียง ต่อ 149 เสียง ให้ลงมติแยกรายฉบับ
โดยผลการลงมติร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงานทั้ง 3 ฉบับปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติเสียงข้างมาก 252 เสียง ต่อ 149 เสียง “ไม่รับหลักการ” ร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ที่เสนอโดยนายเซีย และมีมติ “รับหลักการ” ร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ที่เสนอโดยนางสาววรรณวิภา ด้วยมติเอกฉันท์ 394 เสียง // พร้อมยังมีมติเอกฉัน 401 เสียงให้ “รับหลักการ” ร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ที่เสนอโดยนายวรศิษฏ์ โดยขั้นตอนหลังจากนี้ ที่ประชุมได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อพิจารณาปรับแก้ ก่อนเสนอให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาต่อในวาระที่ 2 และ 3 พิจารณาตามขั้นตอนอีกครั้ง โดยให้ใช้ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ที่เสนอโดยนายวรศิษฎ์ พรรคภูมิใจไทย เป็นร่างหลักในการพิจารณา
ทั้งนี้ ระหว่างการลงมตินั้น ยังเกิดการปะทะคารมกันระหว่างฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล หลังการแสดงตน และในการลงมติร่างกฎหมายขอ สส.พรรคก้าวไกล จำนวน 2 คน กับ ร่างกฎหมายของ สส.พรรคภูมิใจไทย จำนวน สส.สวิงไปมา ระหว่าง 390-400 คน ลงมาเหลือเพียง 257 คน จนทำให้นายวรวงศ์ วรปัญญา สส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมการวิปรัฐบาล ได้ลุกขึ้นตั้งข้อสงสัยว่า จำนวนดังกล่าว เป็นเพราะระบบลงคะแนนมีปัญหา หรือมี สส.ไม่มาทำงาน ก่อนที่นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน จะลุกขึ้นมายอมรับว่า ระบบไม่ได้มีปัญหา
แต่ฝ่ายค้าน ไม่ได้ร่วมแสดงตนด้วย เพราะอยากรู้ว่า รัฐบาลเห็นความสำคัญกับร่างกฎหมายฉบับนี้มากขนาดใด จึงทำให้ สส.ภายในห้องประชุม ได้พร้อมส่งเสียงโห่ฮา นายปกรณ์วุฒิ จึงประท้วงประธานการประชุมอีกครั้ง ทำให้หน้าที่ควบคุมการประชุมด้วย พร้อมกล่าวหาไปยัง สส.ที่เป็นกันมากี่สมัยแล้ แต่ยังโห่ฮา จึงทำให้ สส.ในสภาร่วมกันโห่ฮาอีกครั้ง ซึ่งดังกว่าเก่า ก่อนประธานการประชุม จะตัดบท
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





