ไร้เงา “ธรรมนัส” -สปก. แจงกมธ.ที่ดิน-มั่นคง ปมพิพาทเขาใหญ่
ไร้เงา “ธรรมนัส” – ส.ป.ก. แจง กมธ.ที่ดิน-ความมั่นคง ปมข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนเขาใหญ่ ขณะ “ชัยวัฒน์” สวนต้องยึดหมุด ไม่ใช่คำบอกเล่าของชาวบ้าน หรือลำห้วย ด้านกฤษณะ ชี้ชัด ส.ป.ก. มาที่หลัง และไม่ทำตามกฎหมายตัวเอง ส่วนกรมอุทยานฯ ยืนยัน ไม่เคยมีชาวบ้านเข้าไปอาศัยในอุทยานเขาใหญ่
คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ และคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกันพิจารณาข้อพิพาทที่ดิน ส.ป.ก. ทับที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ครั้งที่ 2 โดยได้เชิญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อธิบดีกรมอุทยาน เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตลอดจนหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่
แต่ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ส่งหนังสือแจ้งคณะกรรมาธิการฯ ว่า ไม่สามารถมาชี้แจง เนื่องจากติดภารกิจเร่งด่วน และเป็นธานวันสถาปนาสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร เช่นเดียวเลขาธิการ ส.ป.ก. ที่แจ้งว่า ไม่สามารถมาชี้แจงได้ และไม่ส่งผู้แทนมาชี้แจงแทน ทำให้ในวันนี้ไม่มีตัวแทน ส.ป.ก. ทั้งส่วนกลางและส.ป.ก.นครราชสีมา มาชี้แจงในที่ประชุมแม้แต่คนเดียว
โดยในที่ประชุม ได้มีการรายงานผลการลงพื้นที่รางวัลเสียงดังอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เมื่อวันที่ 4-5 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยนายอภิชาติ ศิริสุนทร ประธานคณะกรรมาธิการการที่ดินฯ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่บริเวณ 59 แปลงที่มีการออกเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. พบว่ามีสภาพเป็นป่าสมบูรณ์ มีแหล่งน้ำธรรมชาติ ไม่เหมาะสมที่จะจัดสรรให้ประชาชน
แต่เห็นหมุดของ ส.ป.ก. แต่รองเลขา ส.ป.ก. ไม่สามารถชี้แจงที่มาของหมุดดังกล่าวได้ บางจุดแนวหมุด ส.ป.ก.ตัดผ่านลำห้วยธรรมชาติ และเขาสูงชั้น จึงขอกลับไปตรวจสอบอีกครั้งว่าใครเป็นผู้นำมาปัก มีชาวบ้านแจ้งว่า เป็นหนึ่งในผู้ขอสิทธิ์พื้นที่ทำกินแต่ไม่ได้รับการจัดสรรที่ดิน กรรมาธิการฯ จึงได้ขอข้อมูลรายละเอียดของผู้ที่รับการจัดสรรที่ดินทั้ง 59 แปลง จาก ส.ป.ก. เพื่อส่งให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบสิทธิ์และการได้มาว่าถูกต้องตามกฎหมาย
ขณะที่นายนิคม บุญวิเศษ กรรมาธิการที่ดินฯ ตั้งข้อสังเกตว่า การที่มีบุตรของ ส.ป.ก. ไปปักในแนวเขตลำน้ำธรรมชาติและเขาสูงชั้น ทั้งที่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ได้ มองว่า หากไม่มีใครพบความผิดปกติ ในอนาคตอาจมีการถมลำน้ำดังกล่าวก็ได้
ส่วนพันเอกปืน อินทรวงส์สักดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลทางแผนที่ ชี้แจงว่า การวัดแนวเขต อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เพื่อทำแผนที่ท้านพระราชกฤษฎี ปี 2505 มีการรังวัดตั้งแต่ปี 2503 ทำให้หลักหมุดเป็นหมุดไม้ กว่า 980 หมุด ซึ่งปัจจุบันไม่ลงเหลืออยู่แล้ว กลายเป็นหมุดซีเมนต์ ซึ่งมาปักใหม่ในภายหลัก กรมแทนที่ทหาร จึงใช้วิธีหลังวัดจาก Field Book
ซึ่งจะมีการเขียนกำกับสภาพแวดล้อมภูมิประเทศ มุมและระยะสายการสำรวจ ไว้โดยละเอียด และภายหลังจากที่ทราบว่าแนวเขตของกรมแผนที่ทหาร ไม่ตรงกับกรมอุทยานฯ ได้มีการตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศในพื้นที่พิพาท ย้อนตั้งแต่ปี 2496 พบว่า เริ่มมีร่องรอยการเข้าใช้ประโยชน์ ตั้งแต่ปี 2510 ป่าเริ่มหายไป ปี 2517 มีลักษณะคล้ายแบ่งแปลง และ ปี 2526 กรมพัฒนาที่ดินได้ให้งบกรมแผนที่ทหารบินถ่ายเพื่อจำแนกประเภทการใช้ที่ดินเป็นเขตส.ป.ก. จนกระทั่งปี 2529 ป่าจึงเริ่มกลับมาอีกครั้ง
ด้านนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) ยืนยันว่า ภาพถ่ายทางอากาศที่พบว่า มีลักษณะคล้ายการเข้าไปใช้ประโยชน์ตั้งแต่ปี 2511 กรมป่าไม้ได้จัดพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นแปลงปลูกป่าเป็นแนวกันไฟ
ไม่ใช่การจัดสรรให้ราษฎรเข้าไปใช้ประโยชน์ จนในปี 2526 จึงอนุญาตให้ ชาวบ้านที่มีปัญหาเรื่องพื้นที่ทำกินเข้าไปปลูกข้าวโพดในพื้นที่ระหว่างแปลง แต่ก็เกิดปัญหา การเผาเพื่อเก็บพืชผลทางการเกษตร จึงได้ให้ออกตั้งแต่ปี 2528 ส่วนก่อนปี2511 พื้นที่บริเวณนี้เป็นสัมปทานป่าไม้ จนกระทั่งประกาศ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
พร้อมกันนี้ นายชัยวัฒน์ ยังโต้แย้งโกงแผนที่ทหารว่า การจัดทำแนวเขตจำเป็นต้องยึดหมุดเป็นหลัก จะไปยึดคำบอกของชาวบ้านหรือร่องห้วยไม่ได้ เพราะร่องห้วยยาวเป็นกิโลฯ ส่งผลให้แนวเขตของกรมแผนที่ทหารอยู่ต่ำกว่าแนวเขตของกรมอุทยานฯ ที่ยึดตามหมุดที่เป็นหลักซีเมนต์ เกือบ 2 กิโลเมตร ซึ่งจะพบว่า แนวเขตที่ได้ใกล้เคียงกับแนวเส้น ของแผนที่ท้ายกฤษฎีกา ส่วน Field Book เป็นเพียง ไกด์ไลน์ การรางวัดต้องไปดูสภาพจริง
พร้อมย้ำว่า วันนี้ต้องพูดให้ชัดเจน เพราะแผนที่เป็นตัวกำหนดว่าใครทำผิดกฎหมาย การทำผิดระเบียบแค่ว่ากล่าวตักเตือน แต่หากพื้นที่ดังกล่าวเป็นของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่คนที่เข้าไปดำเนินการ ถือทำผิดกฎหมายมีโทษทางอาญาต้องถูกดำเนินคดี จะมาจบหล่อๆเหมือนคราวที่เจอในทับลานไม่ได้ หาก One Map ออกมาโดยไม่ชอบ ตนก็จะสู้ในชั้นศาล ไม่ยอมอยู่แล้ว
ขณะนายวีระยุทธ์ วรรณเลิศสกุล ผู้ตรวจราชการกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยว่าการประชุมร่วมกันระหว่างกระทรวงเกษตรและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เมื่อวานนี้ที่ทำเนียบรัฐบาลได้มีข้อยุติตรงกันว่าจะต้องมีการเปรียบเทียบแนวเขตของทั้ง 2 หน่วยงานใหม่ทั้งหมด หากมีพื้นที่ทับซ้อนและไม่สามารถตกลงกันได้ให้ส่ง One Map เป็นผู้ชี้ขาดโดยยึดหลักกฎหมาย ซึ่งส.ป.ก. ยินยอมว่าหากพื้นที่ใดมีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ ก็ยินดีจะคืนให้กับกรมอุทยานฯ กรมป่าไม้และกรมทะเลและชายฝั่ง
สำหรับตัวแทนของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ชี้แจงข้อกฎหมายว่า การออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดิน มีการเสนอมายังกฤษฎีกาเมื่อปี 2533 ซึ่งมีการกำหนดเขตปฏิรูปที่ดินทั้งอำเภอ ด้วยเหตุผลด้านงบประมาณ จึงไม่สอดคล้องกับ พระราชบัญญัติปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มาตรา 25 วรรค 3 กำหนดให้การปฏิรูปที่ดินกำหนดเฉพาะเขตที่จะดำเนินการ ดังนั้นในข้อเท็จจริงสปกจะสามารถดำเนินการจัดสรรการปฏิรูปที่ดินได้เฉพาะพื้นที่ที่ถูกจำแนกออกจากป่าไม้ จำนวน 33,896 ไร่เท่านั่น
ซึ่งในช่วงที่มีการเสนอร่างกฎหมายเข้ามาทางกฤษฎีกาได้ตรวจด้วยสายตา แล้วพบว่าพื้นที่บางส่วนน่าจะทับซ้อนกับอุทยานแห่งชาติ จึงได้สอบถามกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งกรมป่าไม้และส.ป.ก. ชี้แจงว่าได้มีการกันพื้นที่ที่ไม่เกี่ยวข้องออกแล้ว
แต่อย่างไรก็ตามหากมองตามหลักกฎหมาย กรมอุทยานได้ประกาศพระราชกฤษฎีกา อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ตั้งแต่ปี 2505 ซึ่งถือว่าประกาศก่อน ที่ส.ป.ก. จะกำหนดเขตปฏิรูปที่ดินในปี 2534 ดังนั้นคนมาทีหลังจึงเป็นผู้ที่มาทับซ้อน ต้องยึดผู้ที่มาก่อน
โดยในที่ประชุมกรรมาธิการได้สอบถามกรมอุทยานฯ ว่า หากตกลงแนวเขตได้แล้ว พบว่า มีราษฏร เข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่อุทยานฯ จะดำเนินการอย่างไร รองอธิบดีกรมอุทยานยืนยันว่า จากการ สำรวจ ภาพถ่ายทางอากาศ เมื่อปี 2545 ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่พบว่าไม่มีชาวบ้านเข้าไปอาศัยอยู่แม้แต่รายเดียว แต่อย่างไรก็ตามกรมอุทยานมี มาตรการดูแลจัดสรรที่ดินให้กับราษฎรในพื้นที่อุทยานฯ อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในช่องถ่ายของการประชุม นายชัยวัฒน์ได้เสนอให้ ส่งตัวแทนจากทุกหน่วยงานลงพื้นที่ไปรามวัดแนวเขตด้วยกันอีกครั้ง โดยใช้อุปกรณ์ของหน่วยงานตัวเอง เพื่อหาข้อยุติและแนวเขตที่ทุกคนสามารถยอมรับได้ ซึ่งทุกหน่วยงาน เห็นของต้องกัน จึงคาดว่าจะมีการลงพื้นที่ไปรังวัดอีกครั้งในสัปดาห์หน้า
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





