“ชูวิทย์” โต้ “ทนายตั้ม” ยันได้เงิน 6 ล้าน บริจาคหมดแล้ว
ชูวิทย์โต้กลับทนายตั้ม แย้งได้เงินแค่ 6 ล้านก่อนไปบริจาคให้โรงพยาบาลทั้งหมด เชื่อหลานเอาข้อมูลไปแฉ พร้อมประกาศตัดความสัมพันธ์
วันนี้ (23 มี.ค.66) เวลา 13.00 น. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองดัง แถลงโต้กลับกรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม กล่าวหาตนเองว่าเรียกรับเงินจาก “สารวัตรซัว” ที่ทำเว็บพนันออนไลน์และธุรกิจผิดกฎหมาย ทั้งที่นายชูวิทย์ เป็นคนแฉเรื่องดังกล่าวเอง โดยนายชูวิทย์ ได้อุ้มพระบรมรูปหล่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พร้อมให้สัตย์ว่าหากพูดโกหก ก็ขอให้เกิดความวิบัติแก่ตนเอง หากพูดความจริงก็ขอให้เกิดแต่ความเจริญ พร้อมแสดงเชิงสัญลักษณ์โดยการนำเหรียญมาหยอดใส่ตาชั่ง
โดยนายชูวิทย์ เปิดเผยว่า ทนายตั้มรับข้อมูลจากนายเปา หลานที่ตนเลี้ยงดูมาดั่งลูก ตั้งแต่ยังเล็ก เพราะพ่อเขาติดคุก ส่วนแม่ก็แยกทางไป ตนส่งเสียให้เรียนโรงเรียนชื่อดังจนจบ แล้วก็มาติดตามตัวเอง กระทั่งตนติดคุก จึงให้นายเปาไปค่อยเก็บเงินค่าเช่าคอนโดมิเนียมของตน เพื่อเลี้ยงดูตัวเอง แต่นายเปาอ้างว่าผู้เช่าไม่ยอมให้เงิน
จนกระทั้งต่อมาหลังจากที่ตนออกจากคุกก็ทราบว่านายเปาได้รับเงินค่าเช่า แต่ไม่ได้เอามาให้ ตนจึงต่อว่าหลังจากนั้นนายเปาได้ลาออกและไปทำงานกับสารวัตรซัว ซึ่งเรียนโรงเรียนเดียวกันมา โดยเรื่องที่ทนายตั้มกล่าวหานั้น ประเด็นแรก ยอมรับว่าตนเองเคยพบกับนายแทนไท โดยมีอดีตนายตำรวจยศ พล.ต.อ.พามาหาที่โรงแรมแห่งนี้ตอนกลางวัน เพื่อปรึกษาว่าจะฟ้องร้องนายสนธิ หรือไม่ หลังเข้าไปพบนายสนธิ แล้วถูกต่อว่าเพราะไม่เชื่อว่านายแทนไท ทำธุรกิจขาวสะอาด ตนก็แนะนำว่าอย่าไปฟ้องเพราะสู้ไม่ได้ ก่อนนายแทนไท จะกลับไป ตนไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมต้องมาปรึกษาตัวเอง
ประเด็นต่อมาคือเรื่องที่มีเงินดิจิทัล 50 ล้านบาทโอนเข้ามายังบัญชีของกล่องดวงใจหรือนายเติม ลูกชายคนเดียวของตนหรือไม่ ตนยืนยันว่าลูกชายตัวเองมีอันจะกิน เพราะได้รับเงินเดือนจากตน ไม่เคยเล่นการพนัน และไม่มีเงินก้อนดังกล่าวโอนเข้ามาตามที่ทนายษิทรา กล่าวอ้าง
นายชูวิทย์ กล่าวต่อมาประเด็นเรื่องรูปเงินทั้ง 2 ถุงที่ทนายตั้มโพสต์ไว้และบอกว่ามีเงินมากกว่า 6 ล้านบาทตามที่ตนระบุ โดยตนขอชี้แจงว่า เงินดังกล่าวมี2ถุง ถุงละ 3 ล้านบาท รวมเป็น 6 ล้านบาท ไม่มีเงินจากแหล่งอื่นมาเพิ่มเติม ซึ่งเงินดังกล่าวมีตำรวจเกษียณราชการ ยศ พล.ต.ท. และอีกนายยศ พล.ต.ต. ที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยยังทำอาบอบนวด นำเงินจำนวนดังกล่าวมาให้ อ้างว่าเป็นเงินขิง สารวัตรซัว มาให้ตน แต่ตนได้ปฏิเสธไม่รับ แต่ทั้ง2คนไม่ขอเอาเงินกลับไป ว่างไว้ที่โต๊ะ ตนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงต้องรับไว้ ภายหลังตนได้ตัดสินใจนำเงินทั้งหมดไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ และโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งตามจริง ตนควรจะนำไปให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) แต่คิดว่าไม่มีประโยชน์ จึงนำไปบริจาคเพราะไม่กล้าใช้ ยิ่งหากได้เงิน 10 ล้านบาทจริงตามที่ทนายตั้มอ้าง
นายชูวิทย์ ยังถามถึงทนายตั้มว่ารับงานมาจากใคร ยอมรับว่ามีบางเรื่องที่กล่าวหามานั้นมีทั้งถูกและผิด ซึ่งไม่ทราบเหตุผลที่ทนายตั้มต้องออกมาพูดในครั้งนี้ พร้อมตอบคำถามที่ว่าทำไมตนถึงไม่แฉเรื่องนายแทนไท ยอมรับว่าตัวเองมีข้อมูลเขาน้อยมาก จึงไม่นำมาแฉ รวมถึงหลังจากนี้ ตนไม่ยอมรับนายเปา เป็นหลาน เพราะถือว่าเนรคุณ ซึ่งปัจจุบันตนไม่เคยได้พบหรือติดต่อกันอีก
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ตนมาแฉเรื่องธุรกิจสีเทามีกลุ่มคนที่ทำธุรกิจสีเทา พยายามจะเข้ามาพบหรือหารือตนเสมอ และเสนอเงิน แต่ตนไม่เคยรับเงินจากลุ่มไหนเลย ยกเว้นที่2นายตำรวจเอามาวางไว้ให้ ซึ่งเป็นเหตุจำใจที่ต้องรับ ส่วนนายแทนไท มาพร้อมกับนายตำรวจที่ตนรู้จักจึงได้เจอตัวเป็นๆ พร้อมยืนยันว่าไม่เคยพบหรือโทรศัพท์คุยกับสารวัตรซัว ฝากถึงทนายตั้มว่าหากมีหลักฐานอื่นก็ยินดีให้เปิดเผย ยอมรับว่าไม่โกรธ และในอนาคต หากทนายตั้มสนใจอยากร่วมแฉโครงการทุจริตรถไฟฟ้ากับตนก็ยินดี แต่ต้องเป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





