ตึก สตง.ถล่ม-ถนนสามเสนทรุดตัว ความเหมือนที่แตกต่าง
จากเหตุการณ์ ถนนสามเสนทรุดตัวที่ก่อให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ หากมีการนำมา เทียบเคียงกับ เหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม ก็อาจจะได้เห็นมุมมองที่เหมือนหรือคล้ายกันในหลายจุด โดยเฉพาะ มุมมองของเรื่องภัยธรรมชาติ ที่มักจะตรวจสอบความไม่โปร่งใสของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ได้เป็นอย่างดี
ในช่วงเดือนมีนาคม 2568 เกิดเหตุการณ์ตึกสำนักงานของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้าง ถล่มลงมาภายหลังแผ่นดินไหวที่ศูนย์กลางในเมียนมา เป็นโศกนาฏ กรรมใหญ่กลางเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร มีผู้เสียชีวิต สูญหาย และปฏิบัติการกู้ซากดำเนินไปหลายสัปดาห์
และล่าสุด เดือน กันยายน 2568 กับเหตุการณ์ เกิดเหตุถนน สามเสนทรุดตัวบริเวณหน้า โรงพยาบาลวชิรพยาบาล และพื้นที่ใกล้เคียง ขณะมีการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินในพื้นที่นั้นด้วย สองเหตุการณ์นี้ ต่างมี “สัญญาณเตือนทางโครงสร้าง” ที่อาจสะท้อนปัญหาลึกของการวางแผน ก่อสร้าง และการกำกับดูแล สิ่งที่มักถูกซ่อนเร้น แต่เมื่อเกิดโศกนาฏกรรม ธรรมชาติก็กลายเป็น “ผู้ฟ้อง” ให้เราต้องตั้งคำถาม
ในด้านความเหมือนกัน ของทั้ง 2 เหตุการณ์
ในด้านของความเสียหายและความสูญเสีย เหตุการณ์อาคาร สตง.ถล่ม มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ สูญหายหลายราย เจ้าหน้าที่ใช้เวลาในการค้นหาร่างผู้สูญหายใช้เวลาหลายสัปดาห์ ส่วนกรณีของ เหตุถนนสามเสนทรุดตัว แม้จะยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต แต่ก็มีผลกระทบ ต่อระบบสาธารณูปโภค ถนนถูกตัดขาด ต้อง ปิดการจราจร อพยพผู้ป่วย ของโรงพยาบาลวชิรพยาบาล และส่งผลต่อการอำนวยความสะดวกในพื้นที่
กระบวนการกู้ภัย ปฏิบัติการหน้างาน เหตุการณ์อาคาร สตง.ถล่ม มีการรื้อซาก ค้นหา ผู้สูญหาย ตั้งศูนย์บัญชาการ เพื่อสั่งการเบ็ดเสร็จในจุดเดียว และถอนกำลังเมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้รอดชีวิตเหลือ เหตุการณ์ถนนสามเสนทรุดตัว เจ้าหน้าที่เร่งอพยพผู้ป่วย ประเมินโครงสร้างอาคารโดยรอบที่ ได้รับผลกระทบ ทั้ง รพ.วชิรพยาบาล สน.สามเสน อาคารที่พักอาศัยข้าราชการตำรวจ ปิดการจราจรควบคุมพื้นที่เสี่ยง และดำเนินมาตรการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย
มีการข้อสังเกตเรื่องทุจริต คอรัปชั่น เกี่ยวกับคุณภาพ การกำกับดูแล เหตุการณ์ตึก สตง.ถล่ม มีรายงานว่าการออกแบบโครงสร้างไม่เป็นไปตามมาตรฐาน กำหนดแบบกับกฎหมายตรงกันไม่ครบถ้วน คอนกรีตและเหล็กผิดคุณภาพ จุดต่อบางจุด อ่อนเกินมาตรฐาน ส่วนเหตุการณ์ ถนนสามเสนทรุดตัว มีประเด็นที่หน่วยงาน ป.ป.ท. เข้าไปตรวจสอบ แล้ว พร้อมระบุว่า หากพบว่ามีทุจริตหรือความบกพร่องจะดำเนินการเต็มที่ ไม่กังวลเรื่องบริษัทนายทุนใหญ่
ส่วนความแตกต่างของ ทั้ง 2 เหตุการณ์
ในเรื่องขนาดและลักษณะโครงสร้าง อาคาร สตง. เป็นอาคารสูง (33 ชั้น) โครงสร้างหลัก ยืนอยู่บนโครงเหล็ก-คอนกรีต มีท่อ งานตกแต่งภายนอก งานระบบ ฯลฯ มีหลายชั้นซ้อน ส่วนถนนสามเสน ถนนเป็นโครงสร้างพื้นผิวดินใต้ผิวจราจร – มีโครงสร้างพื้นฐานใต้ดิน(ท่อระบายน้ำ ท่อสาธารณูปโภค อุโมงค์รถไฟฟ้า) ที่อาจมีจุดอ่อนหนึ่งจุดที่ส่งผลต่อผิวถนนโดยรวม
ชนิดของแรงกระทำ ตึก สตง. เกิดจากแรงสั่นสะเทือน (แผ่นดินไหว) เป็นตัวกระตุ้นหลักให้ โครงสร้างที่ไม่แข็งแรงล้มตัวลง ส่วนกรณีของถนนสามเสนทรุดตัว อาจเกิดจากแรงภายในดิน เช่น การซึมของน้ำ ดินไหลเข้าสู่โครงสร้างใต้ดิน หรือการทรุดตัวของเนื้อดิน โดยอาจได้รับแรงกด ความชื้น หรือช่องว่างใต้ผิว
ในเรื่องของกระบวนการตรวจสอบ และการสรุปคดี เหตุการณ์ตึก สตง.ถล่ม นั้น การสอบสวน มีการดำเนินคดี กับ วิศวกรอิสระ ตรวจเอกสาร ผูกโยงบริษัทต่างชาติ ผู้รับเหมาร่วม และการจับกุมผู้เกี่ยวข้องหลายราย ขณะนี้คดีขึ้นสู่การพิจารณาในชั้นศาลแล้ว ส่วนเหตุการณ์ถนนสามเสนทรุดตัว ยังอยู่ระหว่าง การรวบรวมพยานหลักฐาน
เมื่อวิเคราะห์ถึงบทเรียน จากทั้ง 2 เหตุการณ์อาจบ่งชี้ได้ว่า “ภัยพิบัติ” ในเมืองมักเป็นเรื่องที่ซ้อนด้วยโครงสร้างที่อ่อนแอ พฤติกรรมไม่โปร่งใส และการกำกับดูแลที่ขาดศักยภาพ เพราะเมื่อโครงการขนาดใหญ่ (อาคารสูง / โครงการใต้ดิน / งานโยธารุมล้อม การ ดำเนินการโดยปราศจากการตรวจสอบที่เข้มข้น ทั้งในด้านวิศวกรรม การออกแบบ การเลือกใช้วัสดุ และการควบคุมงาน โอกาสที่จะเกิดความเสียหายขึ้นได้ แม้ว่าจะมีบุคคลหรือ ระบบพยายามที่จะปกปิดขั้นตอนของความไม่โปร่งใส ไว้ แต่ความลับก็จะถูกเปิดโปง จากธรรมชาติ ถูกฟ้องร้องธรรมชาติ และธรรมชาติมักจะเป็นเครื่องมือการตรวจสอบทุจริตที่ดีที่
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





