ศาลอาญาคดีทุจริตฯสั่งจำคุก 15 ปี 5 ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ส่วนพลเรือน คนชี้เป้า เจอคุก 10 ปี ฐานสนับสนุน ปมรีดเงิน ชาวจีน 10 ล้าน แลกกับการไม่ดำเนินคดี สวมบัตรปชช.คนไทย
วันนี้ (12 ก.พ.67) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท. 94/2566 คดีอาญาหมายเลขแดงที อท.24/2567 ระหว่าง พนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 2 เป็นโจทย์ดาบตำรวจ พ. ที่ 1 กับพวกรวม 6 คนเป็นจำเลย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1-5 ซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจสังกัดกองกำกับการสืบสวนกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ควบคุมตัวผู้เสียหายทั้ง 2 ขึ้นรถยนต์เป็นพาหนะไปที่ทำการกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 บริเวณศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ แล้วไม่นำตัวผู้เสียหายเข้าสำนักงานฯ แต่กลับขับรถพาผู้เสียหายทั้งสองวนไปสถานที่ต่างๆและเจรจาต่อรองเรียกเงินจากผู้เสียหายที่ 1 เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดีแก่ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าว มีบัตรประจำตัวประชาชนคนไทยโดยมิชอบ จำเลยที่ 6 ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานแต่เป็นผู้ร่วมวางแผนและนัดหมายผู้เสียหายให้ไปพบเพื่อให้จำเลยที่ 1-5 จับกุมและเรียกรับเงิน
ศาลพิเคราะห์แล้วพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักให้ฟังได้มั่นคงว่าตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 1-5 ซึ่งได้รับข้อมูลจากจำเลยที่ 6 แจ้งให้ทราบเกี่ยวกับผู้เสียหายที่ 1 บุคคลสัญชาติจีนมีบัตรประจำตัวประชาชน ที่ออกให้โดยมิชอบ ออกปฏิบัติหน้าที่ติดตามไปพบผู้เสียหายที่ 1 ลักษณะเป็นบุคคลต่างด้าวมีพฤติการณ์อันควรสงสัยโดยมีผู้เสียหายที่ 2 เป็นล่ามให้
จึงเชิญตัวบุคคลทั้งสองขึ้นรถยนต์แล้วเจรจาเรียกเงินจากผู้เสียหายที่ 1 จนกระทั่งตกลงกันได้เป็นเงิน 10 ล้านบาทโดยบุตรชายผู้เสียหายที่ 1 โอนเงินดิจิทัลเข้าหมายเลขบัญชีจำเลยที่ 2 แจ้งให้โอนเข้าแล้ว จำเลยที่ 1-5 จึงปล่อยตัวบุคคลทั้งสองอันเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยกฎหมายและเป็นเจ้าพนักงานร่วมการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ
โดยมีจำเลยที่ 6 ร่วมกันกระทำผิดดังกล่าวในลักษณะแบ่งหน้าที่กันเป็นตัวการสมคบร่วมกันกระทำผิดกับจำเลยที่ 1-5 แต่เมื่อจำเลยที่ 6 มิได้เป็นเจ้าพนักงานขาดคุณสมบัติเฉพาะตัวตามที่กฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะจึงมีความผิดเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบฯ และข้อหาอื่นที่เกี่ยวข้อง
การกระทำของจำเลยทั้ง 6 ดังกล่าวเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท และเมื่อการกระทำของจำเลยทั้ง 6 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ซึ่งเป็นบทเฉพาะของบททั่วไปตามมาตรา 157 แล้วย่อมไม่จำต้องปรับบทความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
อย่างไรก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในการเชิญผู้เสียหายทั้งสองไปเพื่อตรวจสอบสืบเนื่องจากผู้เสียหายที่ 1 เป็นบุคคลต่างด้าวมีลักษณะอันควรสงสัยว่ากระทำผิดกฎหมายโดยมีผู้เสียหายที่ 2 ร่วมเดินทางไปด้วยเพื่อเป็นล่าม ไม่ปรากฏพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1-5 อันมีลักษณะเป็นการใช้กำลังบังคับข่มขืนใจหรือทำให้บุคคลทั้งสองกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายเสรีภาพชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของบุคคลดังกล่าวของผู้อื่น
นอกจากนี้เมื่อตามพฤติการณ์ช่วงเกิดเหตุ ผู้เสียหายที่ 1 ก็ไม่ต้องการให้จำเลยที่ 1-5 ดำเนินคดีแก่ตนจึงได้เจรจาต่อรองจำนวนเงินที่ต้องจ่ายให้จำเลยที่ 1-5 โดยผู้เสียหายที่ 2 ก็ช่วยผู้เสียหายที่ 1 เจรจาต่อรองและขอแบ่งเงินจากจำเลยที่ 1-5 กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้ง 6 เป็นการร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายและร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายเสรีภาพ การกระทำของจำเลยทั้ง 6 จึงไม่เป็นความผิดในข้อหาดังกล่าว
พิพากษาว่าจำเลยที่ 1-5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ประกอบมาตรา 83 จำเลยที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ประกอบมาตรา 86 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1-5 คนละ 15 ปีและลงโทษจำคุกจำเลยที่ 6 เป็นเวลา 10 ปี
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews