Home
|
คลิปข่าวทั่วไป

สกัดน้ำมัน-ยุทธปัจจัย ไม่ส่งให้กัมพูชา

สถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาถึงขนาดนี้ มีการปะทะกันหลายจุดตามแนวชายแดน ในหลายจังหวัดของไทย ที่มีเขตติดต่อกับชายแดนกัมพูชา หนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลไทยออกเป็น มาตรการเข้มข้น คือ สกัดการลักลอบขนถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังกัมพูชา

 

โดยที่ ด่านช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี พบรถบรรทุกน้ำมันทะลักออกด่านช่องเม็ก เพิ่มขึ้นผิดปกติจำนวนมากกว่า 100 คัน จนมีคำสั่งแม่ทัพภาคที่ 2 ห้ามส่งออกน้ำมัน-ยุทธภัณฑ์ ผ่านด่านถาวรช่องเม็ก โดยให้มีผลตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 14 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป

 

จากนั้น พล.ต.ต.ไพรัช พุกเจริญ ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 4 ซึ่งกับกับดูแลด่านตรวจคนเข้าเมืองทั้งหมดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ลงพื้นที่ ตรวจสอบ ไล่ตั้งแต่ด่านชายแดนลาวใต้สุด คือ ด่านช่องเม็ก ตม.จ.อุบลราชธานี ไปที่ ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 ตม.จ.มุกดาหาร จนมาถึง ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 ตม.จ.นครพนม เพื่อตรวจสอบรถบรรทุกน้ำมันแต่ละด่าน ที่ข้ามไปส่งน้ำมันยังคลังน้ำมันใน สปป.ลาว

 

โดยทาง ตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร และสรรพสามิต ในพื้นที่จังหวัดนครพนมให้ข้อมูลว่าปริมาณการส่งออกน้ำมันผ่านช่องทางด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 ยังไม่มีปริมาณที่ผิดปกติแต่อย่างใด

 

พล.ต.ต.ไพรัชฯ มีความกังวลว่า เมื่อมีมาตรการการสกัดห้ามส่งออกน้ำมันผ่านทางด่านช่องเม็กแล้ว มีความเป็นไปได้ที่รถขนส่งน้ำมันอาจจะเปลี่ยนช่องทางในการส่งออกไปยังด่านอื่นๆ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ติดกับ สปป.ลาว และอาจจะถูกขายส่งไปยังกัมพูชาต่อไปได้ จึงต้องลงพื้นที่มาสังเกตุการณ์และให้ข้อมูลกับหน่วยงานชายแดน

 

จึงสั่งการให้ พ.ต.อ.ชัชชัยฯ ร่วมมือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแลการส่งออกน้ำมันผ่านด่านพรมแดน นำข้อมูลมาร่วมกันตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนว่าบริษัทที่ส่งออกน้ำมันผ่านด่านพรมแดนไทย-ลาว โดยใช้บรรทุกน้ำมันไปน้ำมันไปเก็บหรือส่งที่ใด นำเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ อาจจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของทหารไทยที่ปกป้องอธิปไตยของชาติและประชาชนคนไทย

 

สำหรับมาตรการสกัดกั้นการขนถ่ายน้ำมันผ่านเส้นทางทะเล อ่าวไทย สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีมติให้ ปิดกั้นพื้นที่ทางทะเลบริเวณอ่าวไทย เพื่อสกัดไม่ให้เรือบรรทุกน้ำมันและยุทธปัจจัยเคลื่อนตัวไปยังท่าเรือในกัมพูชา ประกาศล้อมรอบพื้นที่ใกล้ท่าเรือกัมพูชาเป็น “พื้นที่เสี่ยงภัยสูง” และให้หน่วยงานทางทะเลเฝ้าระวังเรือพาณิชย์ เรือประมง และเรือสนับสนุนทุกลำที่มีความเสี่ยง

 

ทางด้าน ศุลกากรพร้อมหน่วยงานความมั่นคงได้เพิ่ม ความเข้มงวดการตรวจสอบการขนส่งน้ำมันทุกประเภท ที่ผ่านด่านชายแดน โดยมีการตรวจเอกสารนำเข้า-ส่งออก ตรวจสอบชนิดสินค้า และจับตาการลักลอบส่งสินค้าเชื้อเพลิงในปริมาณผิดปกติ. มีการประสานกับหน่วยงานทหารและตำรวจเพื่อตรวจตรา “เส้นทางเสี่ยง” เช่น ช่องทางธรรมชาติหรือการลักไหลของขนส่งผ่านพื้นที่ชายแดน ซึ่งสามารถส่งผลให้มีการลักลอบน้ำมันเข้าพื้นที่ที่กำลังเกิดความขัดแย้งอยู่.

 

ขณะที่บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของไทย อย่าง ปตท. และบางจาก ต่างออกแถลงการณ์ชี้แจงเรื่องของการส่งออกน้ำมันโดย ปตท. ยืนยันว่า บริษัท หยุดส่งออกน้ำมันไปยังกัมพูชาอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่กลางปี 2568 เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงของกระทรวงพลังงาน และให้ความร่วมมืออย่างเคร่งครัดกับคำสั่งของภาครัฐ.

 

ขณะที่ บางจาก คอร์ปอเรชั่น ออกแถลงว่าบริษัท ไม่มีการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไปกัมพูชาเลย ทั้งทางบกและทางทะเล และการขนส่งใดๆ ที่มีเป็นไปตามเอกสารการค้าและใบอนุญาตที่ถูกต้องเท่านั้น โดยยืนยันเคารพมาตรการของรัฐในการควบคุมการนำเข้า-ส่งออก.

 

มาตรการทั้งทางบกและทางทะเลของไทยมีเป้าหมายเพื่อจำกัดไม่ให้น้ำมันเชื้อเพลิงและยุทธปัจจัยจากไทยไหลไปเป็น “แหล่งสนับสนุน” ให้กับกัมพูชา โดยไทยได้หยุดการส่งออกน้ำมันไปยังกัมพูชา 100% ตั้งแต่กลางปี 2568 และเพิ่มความเข้มงวดการตรวจสอบข้ามแดนอย่างต่อเนื่อง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube