Home
|
คลิปข่าวทั่วไป

ตร.แจงชัด! คดี “บิ๊กโจ๊ก-บิ๊กต่อ” ไม่เลือกปฏิบัติ ยึดกฎหมาย

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานกฎหมายและคดี ได้ออกแถลงชี้แจงต่อสื่อมวลชน กรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ตั้งข้อสังเกต ถึงความแตกต่างในการดำเนินการทางวินัยระหว่างตนเองกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

 

โดยสำนักงานกฎหมายและคดี ระบุว่า การดำเนินการทางวินัยทั้งสองกรณี เป็นไปตามหลักกฎหมายและข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน ไม่ใช่การเลือกปฏิบัติหรือใช้มาตรฐานสองชั้นอย่างที่มีการตั้งข้อสงสัย

 

เริ่มจากประเด็นแรก เรื่องอำนาจตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 105 กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้มีอำนาจสั่งการทางวินัยขึ้นอยู่กับตำแหน่งของผู้ถูกดำเนินการ กรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้มีอำนาจดำเนินการตามมาตรา 105(2)

 

ส่วนกรณีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจตามมาตรา 105(1) ดังนั้น ความแตกต่างของผู้มีอำนาจจึงเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด มิได้เป็นการเลือกปฏิบัติ

 

ประเด็นต่อมา กรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีพยานหลักฐานชัดเจนถึงขั้นมีคดีอาญา ที่สถานีตำรวจนครบาลเตาปูน คดีที่ 391/2566 และมีหมายจับจากศาลอาญา หมายเลข 1396/2567 ลงวันที่ 2 เมษายน 2567 ซึ่งถือเป็นพยานหลักฐานที่ร้ายแรงและชัดเจนจึงถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 117/2567 และมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามคำสั่งที่ 118/2567

 

ขณะที่กรณีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 378/2568 ซึ่งเป็นเพียงขั้นตอนเบื้องต้นในการรวบรวมข้อมูลและหลักฐาน เพื่อพิจารณาว่าจะมีการดำเนินการทางวินัยหรือไม่ในลำดับต่อไป

 

ส่วน หลักเกณฑ์การสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามมาตรา 131 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ และกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2547 ข้อ 8
การจะออกคำสั่งเช่นนี้ได้ ต้องเข้าเงื่อนไข 2 ประการ

 

คือ หนึ่งต้องมีการตั้งกรรมการสอบสวนวินัย หรือมีการถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญาและสอง ผู้มีอำนาจเห็นว่าการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งในกรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เข้าเงื่อนไขทั้งสองข้อ จึงถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนแต่กรณีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ยังไม่เข้าเงื่อนไข เพราะอยู่ในขั้นตอนตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นเท่านั้น

 

ด้าน ผลการดำเนินการกรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกลงโทษไล่ออกจากราชการตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 149/2568 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2568 โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2567 ส่วน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ พ้นจากราชการเนื่องจากเกษียณอายุราชการตามปกติ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567

 

สำนักงานกฎหมายและคดี สรุปว่า ทั้งสองกรณีเป็นการดำเนินการที่เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ผู้มีอำนาจได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาจากพยานหลักฐานและความร้ายแรงของพฤติการณ์ในแต่ละกรณี การดำเนินการที่แตกต่างกันจึงเป็นผลจากข้อเท็จจริงที่แตกต่าง มิใช่การเลือกปฏิบัติ

 

พร้อมย้ำว่า หากมีพยานหลักฐานเพิ่มเติมในอนาคต ผู้มีอำนาจตามกฎหมายจะต้องพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไปตามสมควรแก่กรณี

 

 


 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube