“ปานปรีย์” ร่วมประชุมผู้อียู-อินโดแปซิฟิก ย้ำในฐานะเพื่อนบ้าน ยอมรับไม่ได้ต่อเหตุการณ์ “เมียนมา” เชื่อเจรจาจะเป็นก้าวเชิงบวก ยันไทยริเริ่มโครงการมนุษยธรรม ย้ำทั่วภูมิภาคต้องรับความท้าทายความมั่นคง หนุนโลกหลากขั้ว
นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอินโด-แปซิฟิก (EU Indo-Pacific Ministerial Forum-IPMF) ครั้งที่ 3 ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศสมาชิกกว่า 80 ประเทศ ทันทีที่นายปานปรีย์เดินทางมาถึง ได้ทักทายตัวแทนจากกลุ่มประเทศต่างๆ
จากนั้นที่ประชุมได้เข้าสู่พิธีเปิด นายปานปรีย์ ได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมว่า ปัจจุบันอินโด-แปซิฟิกถือว่าอยู่ในแนวหน้าของการกำหนดระเบียบโลกใหม่และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นการยืนยันจากข้อเท็จจริงและตัวเลขที่เราทุกคนทราบกันดีอยู่
ขณะเดียวกัน ภูมิภาคนี้ก็ต้องรับมือกับความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงหลายประการ ซึ่งรวมถึงความตึงเครียดทางการเมืองและการทหาร ตลอดจนข้อพิพาทเรื่องดินแดน ทั้งหมดนี้ยังประกอบเข้ากับการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจรายใหญ่ ดังนั้นเราจึงยินดีกับย่างก้าวเชิงบวกระหว่างจีนและสหรัฐในซานฟรานซิสโกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายให้มั่นคง และประเทศไทยก็ยินดีที่ได้เป็นสถานที่จัดการประชุมครั้งล่าสุดระหว่างสองมหาอำนาจซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์อย่างยิ่ง
ประเทศไทยเชื่อในความสำคัญของการมีหลายขั้วอำนาจในโลกปัจจุบัน ในเรื่องนี้ อำนาจในการชักจูงของอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการรวบรวมมหาอำนาจหลัก สามารภเป็นพลังเชิงบวกในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก มุมมองอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก (ASEAN Outlook on the Indo-Pacific:AOIP) ตั้งอยู่บนพื้นฐานความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
การเคารพซึ่งกันและกัน และผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่เป็นอิสระ เปิดกว้าง และครอบคลุม มีส่วนร่วมกับโลกโดยรวม แนวทางดังกล่าวซึ่งเราทั้งสองมีร่วมกันน่าจะมีส่วนช่วยให้เกิดการเติบโตและความเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องในภูมิภาค
สหภาพยุโรปสามารถให้การสนับสนุนเชิงบวกต่อระเบียบของภูมิภาคที่มีหลายขั้วอำนาจโดยรักษาการดำเนินนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ที่เป็นตัวของตัวเอง (strategic autonomy) และส่งเสริมการมีส่วนร่วมที่เปิดกว้างและครอบคลุมอย่างแท้จริง อันที่จริงแล้ว เรายินดีกับยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหภาพยุโรป และตั้งตารอการเพิ่มการมีส่วนร่วมเชิงสร้างสรรค์กับพันธมิตรในยุโรปของเรา
แต่อย่างที่ตนได้กล่าวไปแล้ว ความท้าทายหลายประการยังคงมีอยู่ จากมุมมองของภูมิภาค สิ่งที่สำคัญที่สุดคือวิกฤตในเมียนมา ประเทศไทยต้องการเห็นเมียนมาที่สงบสุข มั่นคง และเป็นเอกภาพ เราเชื่อว่าวิธีแก้ปัญหาที่ยั่งยืนเพียงอย่างเดียวคือการแก้ปัญหาทางการเมือง และมันก็ขึ้นอยู่กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงในการกำหนดอนาคตของตนเอง
ในฐานะเพื่อนบ้านข้างเคียง ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความเป็นจริงประการหนึ่ง คือชาวเมียนมากำลังทนทุกข์ทรมาน และเราไม่สามารถยอมให้สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปได้ จึงเป็นสาเหตุที่ประเทศไทยริเริ่มโครงการด้านมนุษยธรรม ซึ่งเราหวังว่าจะเปิดประตูสำหรับการเจรจาระหว่างทุกฝ่าย ท้ายที่สุดแล้ว มันควรเป็นเวทีสำหรับการมีส่วนร่วมของเมียนมากับประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งจะเป็นก้าวเชิงบวกอย่างมาก ข้อริเริ่มนี้ของไทยยังได้รับการสนับสนุนจากอาเซียนด้วย
ท่ามกลางความท้าทายทั้งหมด เรายังคงมั่นใจในศักยภาพและอนาคตของอินโด-แปซิฟิกหรือเอเชีย-แปซิฟิก ดังที่พวกเราหลายคนยังคงใช้เรียกภูมิภาคนี้ เรายังมั่นใจว่าสหภาพยุโรปจะเป็นหุ้นส่วนสำคัญของอาเซียนและของประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ในความพยายามของเราที่จะสร้างอินโด-แปซิฟิกที่สงบสุข มั่นคง และเจริญรุ่งเรือง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นกับโลกโดยรวม
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews