fbpx
Home
|
ข่าว

“สกลธี” ใช้ประสบการณ์รองผู้ว่าฯ ผุดพื้นที่ “มิกซ์ยูส”

Featured Image
“สกลธี”ใช้ประสบการณ์รองผู้ว่าฯ ผุดพื้นที่  “มิกซ์ยูส”  ดึงความสะดวกเข้าชุมชน แบ่งโซน สวนสาธารณะ,โค- เวิร์คกิ้งสเปซ,ห้องสมุด, ลานกิจกรรม,ร้านค้า ฟื้นเศรษฐกิจคนเมือง

 

นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 3 แบบอิสระ กล่าวถึงนโยบาย “สกลธีโมเดล” ที่มุ่งสร้างความสุขให้กับคนกรุงเทพฯ เพื่อให้กรุงเทพฯ ดีกว่าเดิม ว่าจากการลงพื้นที่ทั้งช่วงที่เป็นรองผู้ว่าฯ และ ช่วงการหาเสียงขณะนี้ เห็นว่าในหลายพื้นที่ของ กทม. ยังสามารถที่จะนำมาบริหารจัดการเพื่อพัฒนาให้ตอบสนองความสะดวกสบายของคนกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ได้มากขึ้น

 

ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายของตนที่ต้องการนำความสะดวกสบาย ในบริการต่างๆ ของรัฐเข้าไปถึงประชาชนแทนที่จะต้องออกไปหาเอง โดยเรื่องการบริหารจัดการพื้นที่สาธารณะก็เป็นส่วนหนึ่งในแนวคิดนี้

 

ซึ่งที่ผ่านมา ได้รับการเรียกร้องจากประชาชนหลากหลายกลุ่มเกี่ยวกับความต้องการพื้นที่สาธารณะใกล้บ้านที่สามารถเข้าไปใช้ร่วมกันให้มากขึ้น ทั้งกลุ่มครอบครัวที่ต้องการพื้นที่สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจราคาถูก,กลุ่มคนทำงาน ที่ต้องการพื้นที่ออกกำลังกายรวมไปถึงกลุ่มเยาวชน ที่ต้องการพื้นที่ในการใช้ความคิด ทำงานในลักษณะโค-เวิร์คกิ้งสเปซ ,ทำงานศิลปะ หรือ กิจกรรมอื่นๆ เป็นต้น

 

 

ซึ่งตอนสมัยที่เป็นรองผู้ว่าฯ กทม.ก็ทำเรื่องนี้มาตลอด และดำเนินการสำเร็จมาแล้ว ดังนั้นถ้ามีโอกาสที่ได้กลับไปเป็นผู้ว่าฯ กทม. จึงตั้งใจจะสานงานนี้ต่อ

 

 

ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่า พื้นที่สาธารณะ ไม่ได้หมายความถึงพื้นที่สีเขียวอย่างเดียว แต่ควรเป็นพื้นที่ที่ประชาชนสามารถใช้ร่วมกัน เพื่อทำกิจกรรมอื่นด้วย นั่นคือในพื้นที่หนึ่งอาจจะไม่จำเป็นว่าจะต้องใช้งานเฉพาะกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งอย่างเดียว

 

แต่สามารถที่แบ่งโซน เพื่อใช้ร่วมกันในกิจกรรมที่แตกต่างกันได้ เช่น ในสวนสาธารณะเล็กๆ แห่งหนึ่ง อาจจะเป็นได้ทั้ง สวนพักผ่อน สวนออกกำลังกาย หรือกีฬา และยังสามารถแบ่งโซน หรือพื้นที่ไว้สำหรับการทำโค-เวิร์คกิ้งสเปซ

 

ให้คนรุ่นใหม่มาใช้ทำงาน และเมื่อมีคนมาใช้พื้นที่ก็จะทำให้เกิดร้านค้าชุมชน เช่นร้านกาแฟ หรือฟู้ดสตรีทเล็กๆ สร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ได้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ “มิกซ์ยูส” ที่ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ร่วมกัน ตามนโยบายของตนต้องการที่จะทำให้ทุกเขตมีสวนสาธารณะในลักษณะนี้ให้ครบทั้ง 50 เขต โดยในทุกเขตก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีขนาดใหญ่

 

 

แต่สามารถทำเป็นพื้นที่ย่อยๆ ได้ โดยได้ไอเดียมาจากประเทศญี่ปุ่น เพราะแค่เดินอยู่ในกินซ่า เลี้ยวขวา เลี้ยวซ้ายนิดเดียวก็ไปเจอสวนแล้ว บางทีสวนแค่ 100 – 200 ตารางเมตร หรือ 10 ไร่ ก็สามารถกลายเป็นสวนเล็กๆ ของชุมชนได้

 

ขณะเดียวกัน ในตอนสมัยเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. เคยทำที่เขตลาดพร้าว ได้จัดพื้นที่รกร้างว่างเปล่า 14 ไร่ ที่ตอนแรกมีคนบุกรุกมีการเจรจาขอให้ย้ายออกและเรานำพื้นที่มาทำเป็นทางวิ่ง นำต้นไม้ไปปลูก ทำให้ได้สวนของชุมชนกลับคืนมา

 

ถ้าทำแบบนี้ทุกเขต ก็จะเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียว หรือพื้นที่ทำกิจกรรมอื่นๆ ใกล้บ้านเป็นการดึงความสะดวกสบายเข้ามาใกล้คน แทนที่จะต้องออกไปไกลๆ อย่างคนที่อยู่คลองสามวาก็ไม่ต้องขับรถเพื่อเข้ามาในเมืองเพื่อมาวิ่งในสวนขนาดใหญ่ แต่สามารถใช้สวนใกล้บ้านทำกิจกรรมต่างๆ ได้เลย

 

สำหรับ โค – เวิร์คกิ้งสเปซ ที่ตนอยากจะทำเพราะไม่ต้องใช้พื้นที่มาก สามารถแบ่งโซนมาทำโดยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ทุนอะไรมากมาย หรือไม่ต้องทำให้หรูหรา เพียงแต่ทำให้เป็นสถานที่ที่สะดวกต่อการทำงาน มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่นไวไฟ (Wifi) รวมไปถึงสิ่งที่จำเป็นต่อการทำงาน ใช้เพียงแค่ตู้คอนเทนเนอร์ หรืออาคารเล็กๆมาทำให้พวกเขาสามารถใช้ทำงานได้โดยไม่ต้องลงทุนอะไรมาก หรือเพิ่มห้องสมุดเล็กๆ เข้าไปให้เด็กๆ ได้มาใช้ในอีกโซนหนึ่ง

 

ซึ่งเมื่อมีคนก็จะทำให้มีการค้าขาย มีร้านค้าอาจจะเป็นร้านกาแฟ ร้านอาหารเล็กๆ ทำให้คนในชุมชนมีรายได้ขึ้นด้วย โดยที่ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไกลบ้านแต่เขาจะได้ใช้บริการของรัฐได้อย่างสะดวกส่วนพื้นที่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของกรุงเทพ เช่น ตลาดน้อย ตลาดนางเลิ้ง ที่เป็นชุมชนเก่าสวยงามก็สามารถที่จะดึงความโดดเด่นของชุมชนดั้งเดิม ขึ้นมาเป็นจุดขาย

 

ทั้งเรื่องการท่องเที่ยว หรือ พื้นที่สาธารณะของชุมชน อาจจะเปิดโชว์งานศิลปะ จัดเป็นงานแฟชั่น หรือกิจกรรมอื่นๆ ได้ด้วย ก็จะทำให้คนในพื้นที่มีรายได้และยังเป็นจุดท่องเที่ยว หรือพักผ่อนหย่อนใจได้ เพราะด้วยความจำกัดของเมืองใหญ่ อาจจะทำให้มีพื้นที่สำหรับการผ่อนคลายมีน้อย แต่ในนโยบายด้านการบริหารจัดการพื้นที่ ภายใต้ “สกลธีโมเดล”

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube