fbpx
Home
|
ข่าว

“จุรินทร์”JTCไทย-ภูฏานขยายการค้าสมุนไพรยาแผนโบราณ

Featured Image
“จุรินทร์” JTC ไทย-ภูฏาน ขยายความร่วมมือการค้าการลงทุน ดันส่งออกสมุนไพร ยาแผนโบราณไทย ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าเป็น 3,600 ล้านบาท ในปี 68

 

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย-ภูฏาน (ระดับรัฐมนตรี) ครั้งที่ 4 ร่วมกับนายลินโป ล็อกนัท ชาร์มา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ (หัวหน้าคณะผู้แทนภูฏาน)

 

โดยมีนางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นายณรงค์ วุ่นซิ่ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วยที่โรงแรมดุสิตธานี ลากูน่า ภูเก็ต อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต

 

โดยประเทศภูฏานมีประชากรประมาณ 800,000 คน มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับภูฏานปี 2564 มีมูลค่ารวม 2,100 ล้านบาท เป็นการส่งออกจากประเทศไทยไปภูฏานเกือบทั้งหมด ทำให้ประเทศไทยได้ดุลการค้าเกินดุลกับภูฏานประมาณ 2,096 ล้านบาท เป็น +28.68% สินค้าที่ไทยส่งออกไปภูฏานประกอบด้วยสิ่งทอ ผ้าผืนใหญ่สังเคราะห์เครื่องนุ่งห่ม

 

มีมูลค่ารวมกันประมาณร้อยละ 70 ของการส่งออกทั้งหมด สินค้าอื่น เช่นเครื่องใช้ไฟฟ้าและผลไม้สด ผลไม้แช่เย็น แช่แข็งและผลไม้แห้ง สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ประเทศภูฏานส่งออกมาไทยคือ ผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น กาแฟ ชา เครื่องเทศ เยลลี่ผลไม้ และโลหะ ผลิตภัณฑ์จากโลหะซึ่งเป็นรูปหล่อขนาดเล็กทำด้วยทองแดง เป็นต้น

 

ทั้งนี้ นักธุรกิจไทยไปลงทุนภาคบริการในภูฏานหลายราย ในกิจการโรงแรม ที่พัก สปาและร้านอาหาร เป็นต้น สำหรับ ได้หยิบยก 6 ประเด็นขึ้นมาหารือกับรัฐมนตรีพาณิชย์ภูฏาน คือ

 

1.การปรับเป้าหมายการค้าร่วมกันจากปี 64 ที่ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นในปี 68 เพิ่มเป็น 120 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นมูลค่าจากปี 64 1,200 ล้านบาทเป็น 3,600 ล้านบาท เพิ่มจากเดิมประมาณสามเท่า 2-3 ปีที่ผ่านมา อัตราการค้าระหว่างกัน เพิ่มขึ้น 15-20% มาโดยลำดับ

 

2.ขอให้ภูฏานสนับสนุนการส่งออกสมุนไพรไทยและยาแผนโบราณของไทยจำหน่ายในภูฏานทั้งการขึ้นทะเบียน การเปิดตลาดและการอำนวยความสะดวกในการนำเข้า ซึ่งจะเป็นเป้าหมายใหม่ในการส่งออกของไทย ถือเป็นการเปิดตลาดใหม่ของสมุนไพรไทยกับยาไทยแผนโบราณ

 

3. ไทยมี MOU ด้านหัตถกรรมกับภูฏาน ซึ่งได้หมดอายุไปแล้วเมื่อเดือน ก.พ.ปีที่แล้ว ได้ขอให้ต่ออายุไปอีก 5 ปีนับจากวันที่หมดอายุ จะช่วยส่งเสริมหัตถกรรมชุมชนหรือสินค้าชุมชนของสองประเทศแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันทั้งการผลิตและการค้า

 

4.ไทยมี MOU ด้านการท่องเที่ยวกับภูฏานฉบับปัจจุบัน ซึ่งใช้มา 5 ปี ตั้งแต่ปี 60-มิ.ย.65 ที่กำลังจะหมดอายุในไม่กี่เดือนข้างหน้า ได้ขอให้ต่ออายุออกไปอีก 5 ปี เดิมทำ MOU ระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกับสภาการท่องเที่ยวภูฏาน ได้ขอเพิ่มหน่วยงานของไทยอีกหนึ่งหน่วยงาน คือ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. และเสนอขอให้ภูฏานจับมือกับประเทศไทยทำเป็นแพคเกจทัวร์ โปรแกรมท่องเที่ยวร่วมกัน

 

เวลานักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาภูฏานให้มาต่อที่ประเทศไทยได้ด้วยและนักท่องเที่ยวมาไทยก็ไปต่อที่ภูฏานได้ในแพคเกจเดียวกันหรือรายการทัวร์เดียวกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ระหว่างการท่องเที่ยวของทั้งสองฝ่ายและขอให้ภูฏานกับไทยจับมือกันส่งเสริม Soft Power เป็นจุดขายสำคัญอีกจุดระหว่างกันในการท่องเที่ยว จะเน้นศิลปะวัฒนธรรมวิถีชีวิตทั้งเรื่องอาหาร หัตถกรรม เป็นต้น ดึงนักท่องเที่ยวทั่วโลกมายังทั้งสองประเทศ

 

5.ตนได้เชิญนักธุรกิจภูฏานผ่านท่านรัฐมนตรี ล็อกนัท ชาร์มา เข้าร่วมงาน THAIFEX -ANUGA Asia 2022 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าด้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียของประเทศไทย จัดวันที่ 24-28 พ.ค.ปีนี้ และขอเชิญเข้าร่วมงาน The Marche by STYLE Bangkok ที่เกี่ยวข้องกับแฟชั่นในช่วงวันที่ 18-22 พ.ค. 2565 และขอให้ท่านรัฐมนตรีภูฐานช่วยสนับสนุนการจับคู่เจรจาการค้าระหว่างนักธุรกิจไทยกับภูฏานที่กระทรวงพาณิชย์จัดขึ้นในช่วง มิ.ย.-ก.ค.ปีนี้เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน

 

6.ขอทราบว่ารัฐบาลภูฏานจะผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวในช่วงเวลาเมื่อใด เพื่อประกอบการดำเนินการของนักธุรกิจไทยที่เดินทางไปลงทุนด้านโรงแรม อาหาร สปาและอื่นๆ จะได้กำหนดแผนงานในการดำเนินธุรกิจได้ล่วงหน้า โดยทั้ง 6 ข้อนี้ รัฐมนตรีภูฏานสนับสนุนความเห็นของตนทั้งหมด

 

ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีล็อกนัท ชาร์มา ได้หยิบยก 2 ประเด็นสำคัญ คือ ภูฏานประสงค์จะขอทำ PTA ซึ่งเป็นการทำข้อตกลงการค้าเฉพาะด้านสินค้า ซึ่งปัจจุบันภูฏานมี PTA กับประเทศเดียวคือกับประเทศบังกลาเทศ รวมถึงภูฏานประสงค์จะส่งออกผลไม้สำคัญ 3 รายการ คือ แอปเปิ้ล ส้ม มันฝรั่ง มาไทย ขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังพิจารณาการทำผลการวิเคราะห์การปราศจากศัตรูพืชของผลไม้รายการเหล่านี้

 

เพื่อส่งเสริมการร่วมมือระหว่างการค้าระหว่างกัน ตนขอให้กระทรวงเกษตรฯเร่งพิจารณาเรื่องนี้โดยเร็ว เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้าสินค้าที่จำเป็นของภูฏานมายังประเทศไทย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคไทยต่อไป ซึ่งทางภูฏานทำการเกษตรวิถีใหม่เป็นการเกษตรปราศจากการใช้สารเคมี และการประชุม JTC ครั้งที่ 5 ประเทศภูฏานจะเป็นเจ้าภาพถือว่าการประชุมครั้งนี้ได้ประโยชน์อย่างยิ่งเป็นโอกาสสำคัญในการที่จะนำสินค้าอีกหมวดคือสมุนไพรไทยกับยาแผนโบราณของไทยไปภูฏาน

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube