fbpx
Home
|
ทั่วไป

“หมออุดม” ยันจำเป็นเลิกยูเซป-หวังป่วยไม่เกิน2หมื่น/วัน

Featured Image
ที่ปรึกษา ศบค.ยัน จำเป็นยกเลิกยูเซป รัฐบาลแบกภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว ย้ำจะให้เวลาเตรียมตัวไม่ยกเลิกกระทันหัน ขอผู้ปกครองพาบุตรหลานไปฉีดวัคซีน หวังยอดป่วยไม่เกิน2หมื่นต่อวัน

 

นายแพทย์อุดม คชินทร ที่ปรึกษา ศบค. กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาด โควิด-19 ยังเป็นไปตามที่กระทรวงสาธารณสุขคาดการณ์ โดยในช่วงปลายเดือนนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะแตะถึง 17,000-18,000 รายต่อวัน โดยหวังว่าจะไม่ถึง 20,000 รายต่อวัน

 

แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของประชาชนทุกคน แต่หากเปรียบเทียบกับการเจ็บป่วยรุนแรงของประชาชนถือว่า อยู่ในเกณฑ์ที่น้อย หากเปรียบเทียบกับการระบาดช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. 2564 ที่ ประเทศไทยมีการระบาดอย่างรุนแรง ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยถือว่าจำนวนผู้ป่วยรุนแรงลดลงกว่า 10 เท่า จาก 500 รายเหลือเพียง 100 รายเท่านั้น ยืนยันระบบสาธารณสุขของไทย ยังสามารถรองรับได้ และคนไทยมีวินัย แต่ต้องระมัดระวังเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้ผู้ติดเชื้อแตะ 20,000 รายต่อวันในอนาคต

 

อย่างไรก็ตาม ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนกกรณีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นรายวัน แต่ขอเห็นใจบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานอย่างเหนื่อยล้า และขอประชาชนเข้ารับวัคซีนให้ครบโดส รวมไปถึงเข็มกระตุ้นเพราะมีข้อมูลที่ชัดเจนว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะสามารถป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงได้ จึงอยากให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนไปฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุด

 

ยืนยันขณะนี้มีวัคซีนเพียงพอแต่ประชาชนฉีดน้อยลงและยืนยันว่า มีเตียงรองรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอย่างเพียงพอ เพราะมีการวางระบบเอาไว้อย่างดี โดยนำเอาบทเรียนครั้งที่ผ่านมามาเตรียมความพร้อม

 

ส่วนกรณีหลายฝ่ายตั้งคำถามว่าทำไมไทยจะต้องยกเลิกโรคโควิด-19 ออกจากบริการยูเซ็ป หรือการให้บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ แล้วให้ไปใช้สิทธิ์ ตามหลักประกันสุขภาพของแต่ละบุคคลทั้งบัตรทอง ประกันสังคม หรือสวัสดิการข้าราชการ ที่จะเริ่มในวันที่ 1 มีนาคมนี้ ว่าขอให้ประชาชนเข้าใจว่าที่ผ่านมาว่าที่ผ่านมารัฐบาลใช้งบประมาณจำนวนมาก ในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อ โควิด-19 ฟรีที่ไม่มีประเทศใดดำเนินการเท่ากับประเทศไทย และต้องยอมรับว่ารัฐบาลรองรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว เพราะ ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก

 

ยกตัวอย่างเช่นในประเทศสวีเดนรัฐบาลสวีเดนยกเลิกกฎควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เกือบทั้งหมดเมื่อวันที่10 ก.พ.ที่ผ่านมา เนื่องจากไม่มีงบประมาณเพียงพอในการดูแลผู้ป่วย โควิด-19 ทั้งที่เป็นประเทศที่ร่ำรวยกว่าไทย ส่วนตัวจึงเห็นว่า ควรช่วยกันฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้ และตอนนี้ต้องทำใจเพื่อเปลี่ยนผ่าน เพื่อให้เป็นโรคประจำถิ่นให้ได้

 

โดยการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจ แต่ยืนยันรัฐบาลจะไม่ได้มีการประกาศยกเลิกโรคโควิด-19ออกจากบริการยูเซ็ป ในทันที แต่จะให้ประชาชนมีเวลาเตรียมตัว 1-2 เดือน ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ประชาชนไม่ใช่สาธารณสุข เพราะระบบสาธารณสุขไม่ได้มีปัญหาแต่ต้องปรับตามบริบท เพราะจะเห็นได้ชัดว่าสายพันธุ์โอไมครอนไม่ทำให้มีผู้ป่วยหนัก พร้อมย้ำรัฐบาลไม่มีงบประมาณในการรักษาผู้ป่วย โควิด-19 ฟรีแล้ว

 

นายแพทย์อุดม มีความห่วงใยกลุ่มเด็กที่ ขณะนี้ยังได้รับวัคซีนน้อยอยู่ เนื่องจากผู้ปกครองมีความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีน แต่ยืนยันว่า ตามมาตรฐานแล้วเด็กต้องรับวัคซีนไฟเซอร์ และมีวัคซีนซิโนแว็กซ์-ชิโนฟาม เชื้อตายเป็นทางเลือกเพิ่มขึ้น แต่เด็กก็ยังฉีดน้อยอยู่ และจะยังยึดสูตรนี้ต่อไป แม้ขณะนี้ประสิทธิภาพการฉีด1อาจจะน้อยแต่เข็ม2 และเข็ม3 จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และจากนี้จะมีการปรับเป็นสูตรไขว้ ในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ที่ทางกระทรวงสาธารณสุขได้มีการประกาศแล้วเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันขึ้นรวดเร็ว

 

ทั้งนี้ ยืนยันกรณีผลข้างเคียงในเด็กที่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์เรื่องกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้น แม้จะเกิดขึ้นจริงแต่มีเปอร์เซ็นต์น้อย ซึ่งกลุ่มที่เกิดเยอะสุดคือเด็กที่มีอายุตั้งแต่16 – 18 ปี ซึ่งเกิดขึ้นในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง หรือ 70คน ต่อจำนวนประชากร 1 ล้านคน

 

ส่วนเด็กผู้หญิง อายุ 16-18 ปีเกิดขึ้น 7 คน ต่อจำนวนประชากร 1 ล้านคน ส่วนอายุต่ำกว่า 12 ปีเกิดขึ้นได้เพียง 4-5 คน ต่อจำนวนประชากร 1ล้านคนเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่น้อยมากจึงขอให้ ผู้ปกครองนำบุตรหลานไปฉีดวัคซีน เพราะเมื่อฉีดในผู้ใหญ่จนครอบคลุมแล้วจะเกิดการระบาดในเด็กแทน ตามข้อมูลแล้วเมื่อผู้ใหญ่ติดเชื้อหลักๆแล้วจะลงปอดแต่ในเด็กจะกระจายไปหลายอวัยวะมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัว จึงขอให้เข้ารับการฉีดวัคซีนเพราะผลดีมีมากกว่าผลเสีย

 

 

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube