สธ. เตรียมจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข จากกรณีการระบาดของโรคฝีดาษวานร
วันนี้ (25 พ.ค. 65) ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้แถลงข่าวในประเด็น มาตรการในการเฝ้าระวังโรคฝีดาษวานร (Monkeypox) ของประเทศไทย โดย นพ.จักรรัฐ เปิดเผยว่า ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่ออย่างใกล้ชิด โดยประเทศที่เกิดการระบาดในช่วงที่ผ่านมามักจะเป็นประเทศแถบแอฟริกา แต่ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมากลับพบผู้ป่วยเข้าประเทศแถบทวีปยุโรป และมีการแพร่ระบาดในบางประเทศ ทั้งนี้ จำนวนผู้ป่วยยังอยู่ในจำนวนหลักร้อย
โดยปกติแล้วโรคฝีดาษวานรจะเป็นการแพร่ระบาดจากสัตว์สู่คน ด้วยการสัมผัสแผลหรือสารคัดหลั่งของสัตว์ป่วย ขณะเดียวกันก็สามารถแพร่ระบาดจากคนสู่คนได้เช่นกัน โดยติดต่อได้จากการสัมผัสใกล้ชิด โดยเฉพาะแผลของผู้ป่วย รวมถึงเสื้อผ้าและสารคัดหลั่งทางเดินหายใจ โดยระยะฟักตัวจะอยู่ที่ 5-21 วัน โดยอาการปกติจะไม่รุนแรงถึงรุนแรงปานกลางและมี 2 ระยะหลักดังนี้
1. ช่วงอาการนำ (0-5 วัน) จะมีไข้ ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดหลังหรือกล้ามเนื้อ และสามารถแพร่เชื้อได้
2. ช่วงออกผื่น (ภายใน 1-3 วันหลังมีไข้) มีลักษณะการกระจายเริ่มจากบริเวณหน้า และกระจายไปส่วนต่างๆของร่างกาย รวมถึงยังสามารถพบได้บริเวณอื่นของร่างกาย เช่น ช่องปาก หรือ อวัยวะเพศ ลักษณะของผื่นจะพัฒนาไปตามระยะดังต่อไปนี้ ได้แก่ ผื่นนูนแดง ตุ่มน้ำใส ตุ้มหนอง และสะเก็ด หากผู้ป่วยมีสะเก็ดจนแห้งและร่วงหลุดไปจะไม่มีการแพร่เชื้อ
ทั้งนี้ โรคฝีดาษวานรส่วนใหญ่สามารถหายเองได้ แต่ในขณะเดียวกันก็พบผู้ป่วยรุนแรงด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในเด็กที่มีปัญหาสุขภาพหรือคนที่มีอาการแทรกซ้อน อาทิเช่น การติดเชื้อซ้ำซ้อน ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อเข้ากระแสเลือด และการติดเชื้อที่กระจกตา
สำหรับจำนวนผู้ป่วยโรคฝีดาษวานรทั่วโลกขณะนี้พบแล้ว 257 ราย แบ่งเป็น ได้รับการตรวจผลยืนยันแล้ว 169 ราย และผู้ป่วยต้องสงสัย 88 ราย ซึ่งกระจายใน 18 ประเทศ ซึ่งขณะนี้ยังพบว่ามีการระบาดภายในประเทศเฉพาะทวีปยุโรปเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขประเทศไทยได้มีนโยบายจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขกรณีของโรคฝีดาษวานรที่กรมควบคุมโรคแล้ว เพื่อติดตามเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมในประเทศ ทั้งนี้ ประเทศไทยยังไม่มีรายงานพบผู้ติดเชื้อหรือผู้ป่วยต้องสงสัยโรคฝีดาษวานร
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews
