อุยกูร์เอฟเฟ็กต์-มะกัน EU รุม “อิ๊งค์”?
ถือว่าหนักหนาสาหัส แม้ “นายกฯอิ๊งค” และ “พ่อนายกฯ” จะพูดทำเหมือนเป็นเรื่อง “ไม่ใหญ่” เป็นความเข้าใจผิดเพราะข้อมูลไม่อัพเดต ยังคุยกันให้เข้าใจได้ แต่หลายฝ่ายต่ากังวลผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ทั้งในมิติ “การเมือง-ความมั่นคง-เศรษฐกิจ”
หากไม่จัดการให้ดีกับปม “อุยกูร์เอฟเฟ็กต์” ที่ทำให้ ทั้ง “สหรัฐ” และ “ยุโรป” เปิดหน้าใช้ “ยาแรง” กับ “รัฐบาลอิ๊งค์” ด้วยมาตรการคว่ำบาตรไทย ทั้งการที่สหรัฐ ประกาศระงับวีซ่าเจ้าหน้าที่ทางการไทยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการส่งกลับ “ชาวอุยกูร์” ไปยังประเทศจีน โดย “มาร์โก รูบิโอ” รมต.ต่างประเทศสหรัฐ ที่แถลงเรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ 14มี.ค.68 ประกาศนโยบายข้อจำกัดเกี่ยวกับวีซ่าใหม่ ที่มีผลกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันหรือในอดีต ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบต่อ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลักดันชาวอุยกูร์หรือชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์หรือศาสนากลุ่มอื่นที่อาจไม่ได้รับความคุ้มครองกลับประเทศจีน
โดยเฉพาะจะดำเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบันและในอดีต ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบต่อ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลักดันชาวอุยกูร์ 40 คน ออกจากประเทศไทยในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เช่นเดียวกันกับท่าทีสหภาพยุโรป(EU)ที่ส่งสัญญานผ่าน “รัฐสภายุโรป” ที่มีมติ 482 ต่อ 57 เสียง ประณามประเทศไทยกรณีส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับจีน และยังมีการเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการยุโรปใช้กลไกการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กดดันประเทศไทยให้ปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน
ที่แน่นอน “สัญญานแรง” ของสหรัฐ ผ่าน รมต.ต่างประเทศ ในยุคประธานาธิบดี “ทรัมป์” และ EU ที่เคลื่อนไหวจับประเด็นเรื่องการดำเนินการกับ“ชาวอุยกูร์” ของ “รัฐบาลไทย” มาโดยตลอดถูกวิเคราะห์ว่า เป็นปรากฎการณ์ “ไม่ธรรมดา” และ “น่ากังวล” กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา นอกจากการคว่ำบาตรด้วยการ ระงับวีซ่าเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล
ซึ่งเกี่ยวข้องกับการส่งกลับ “อุยกูร์” ที่อาจหมายรวมตั้งแต่ “นายกอิ๊งค์” ไปจนถึง บรรดารัฐมนตรี ที่ดูโหมดความมั่นคง และต่างประเทศ อย่าง “พี่อ้วนภูมิธรรม”, “พ.ต.อ.ทวี” หรือ “รมว.ต่างประเทศ” ที่กำลังพา “นักข่าวไทย” ไป “ซินเจียง” ประเทศจีนช่วงนี้ เพื่อช่วยเป็น “พยานยืนยัน” ว่า จีนไม่ได้ทรมานหรือทำร้าย “ชาวอุยกูร์” ที่ถูกไทยส่งกลับไปอย่างที่เป็นข่าว หรืออย่างที่ฝั่งตะวันตกกล่าวหาจีน โดยเรื่องนี้หาก “รัฐบาลอิ๊งค์” เคลียร์ไม่ดี อาจจะส่งผลกระทบไปถึงเรื่องผลประโยชน์ประเทศไทยที่มีในสหรัฐและEU
อย่างที่สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานความเห็น จากผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากศูนย์ยุทธศาสตร์ในสหรัฐ ว่า เท่าที่พวกเขาจำได้สหรัฐไม่เคยคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ไทย ประเทศไทยอาจอ่อนไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก แต่รอบนี้ไทยอาจทำอะไรได้ไม่มาก เพราะมีเรื่องใหญ่กว่าให้ต้องกังวล นั่นคือคำขู่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเก็บภาษีตอบโต้ประเทศที่เกินดุลการค้า
โดยมองว่า ไทยอาจไม่ตอบโต้ในเรื่องนี้ เพราะตกเป็นเป้าอยู่แล้วจากการได้เปรียบดุลการค้ามากเป็นอันดับที่ 11 ที่ก็ยังไม่แน่ชัดว่า ไทยจะรอดหรือไม่ถ้าทรัมป์เก็บภาษีตอบโต้ต้นเดือนเม.ย.นี้ โดยนักวิเคราะห์ยอมรับ ว่า ในอดีตรัฐบาลวอชิงตันเลี่ยงใช้มาตรการคว่ำบาตรรุนแรงกับไทย ด้วยกังวลว่าจะยิ่งผลักไทยเข้าไปใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น
เช่นเดียวกับ “รศ. ดร.สุนิดา อรุณพิพัฒน์” อาจารย์ประจำสาขาวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ที่มองว่า มติของรัฐสภายุโรปที่ประณามประเทศไทยนับเป็นสิ่งที่น่ากังวลเป็นอย่างมาก เชื่อว่ารัฐบาลทราบดีถึงเรื่องทั้งหมดนี้และเป็นกังวลอยู่ คิดว่าก่อนจะถึงเวทีเจรจาครั้งที่ 5
ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 มี.ค. – 4 เม.ย. 2568
โดยมีสหภาพยุโรปเป็นเจ้าภาพรัฐบาลไทยจะพยายามอย่างถึงที่สุดทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการเพื่อทำให้สหภาพยุโรปเข้าใจถึงเหตุผลและความจำเป็น รวมไปถึงการแสดงความเชื่อมั่นต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับไปประเทศจีน สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการบ้านที่หนักมากของคณะเจรจา
ขณะที่ “เท้ง-ณัฐพงษ์” ผู้นำฝ่ายค้านจากพรรคเด็กที่บอกว่า สิ่งที่พวกเราเรียกร้องมาโดยตลอดคือการดำเนินนโยบายต่างประเทศของรัฐบาล ที่ควรพิจารณาด้วยความรอบคอบ ไม่ควรใช้นโยบายต่างประเทศที่เป็นไผ่ลู่ลม และควรจะต้องยึดหลักสิทธิมนุษยชนสากล รัฐบาลต้องตรวจสอบอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใดภายใต้ภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ 2 มหาอำนาจแข่งขันกันอยู่ การดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด
หากตั้งอยู่บนหลักการที่ถูกต้อง ไม่ว่าฝ่ายใดก็จะลงโทษหรือต่อว่าประเทศไทยไม่ได้ เช่นเดียวกับ “กัณวีร์ สืบแสง” ส.ส.พรรคเป็นธรรม ที่ โพสต์FB ว่า ได้เตือนรัฐบาลถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจดังกล่าว แต่รัฐบาลไม่ได้รับฟัง และขณะนี้กำลังรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป การตัดสินใจของรัฐบาลไทยในกรณีนี้บอกถึงการขาดความรอบรู้ทางการต่างประเทศ และอาจนำพาประเทศไปสู่ความเสี่ยงในความร่วมมือระหว่างประเทศ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





