Home
|
ข่าว

”อนุทิน” ประกาศเวทีวปอ. ”กัมพูชาหมดโอกาสกลับโต๊ะเจรจา”

Featured Image
”อนุทิน” ประกาศกลางเวที วปอ.68 กัมพูชาหมดโอกาสกลับโต๊ะเจรจา ขอร้องเป็นเพลง “my way” เมิน “ภาษีทรัมป์” หลังฉีกปฏิญญาสันติภาพ เล็งหาตลาดประเทศอื่นค้าขาย

 

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเปิดการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 68 โดยมี พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกธราพงษ์ มะละคำ ปลัดกระทรวงกลาโหม พลเอกอุกฤษณ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ร่วมด้วย

 

นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดว่า วันนี้ตนปลื้มใจ ดีใจและภูมิใจ ที่ได้กลับมาสู่สถาบัน วปอ.อีกครั้งหนึ่ง นัดสถานที่แห่งนี้ที่ตนเคยเป็นนักศึกษาในหลักสูตร วปอ. การที่ได้พบกับพี่น้องชาว วปอ.ทุกครั้งตนถือว่าเป็นการพบกับบุคลากรผู้ทรงคุณค่าของประเทศ เป็นผู้นำระดับสูงจากทุกภาคส่วน

 

ทุกท่านที่มาที่นี่ด้วยพลังแห่งความมุ่งมั่น ตนเชื่อว่าทุกท่านคงมีประสบการณ์ และตระหนักเสมอว่าในยุคนี้ ภัยคุกคามต่อความมั่นคงไม่ได้มาในรูปแบบของการรบด้วยอาวุธสรรพกำลังอีกต่อไป แต่แฝงมาในรูปของ การแข่งขันทางข้อมูลการค้า เศรษฐกิจดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการผันผวนของตลาดโลก อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์

 

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ทุกครั้งที่ตนได้ไปร่วมประชุมนานาชาติก็จะเห็นได้ชัดว่าความมั่นคงทางเศรษฐกิจนั้นได้กลายเป็นแนวรบใหม่ของทุกประเทศในโลกนี้ หากเศรษฐกิจสั่นคลอน ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น ความไม่พอใจในสังคมก็จะขยายตัวเป็นความปั่นป่วนมีผลต่อเสถียรภาพทางด้านการเมืองสังคม

 

ดังนั้นภาครัฐจึงต้องสร้างเศรษฐกิจที่ไม่พึ่งพาภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่งแต่ต้องเป็นเศรษฐกิจที่มีความสมดุลเสมอภาค รัฐบาลที่ตนเป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรีนี้ มุ่งเน้นการประคับประคอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีรายได้น้อย ให้พวกเขามีกำลังพอที่จะยืนได้ด้วยตนเอง

 

อย่างเช่นโครงการคนละครึ่งพลัส ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ซึ่งข้อสำคัญ เรามีคำว่า “พลัส” ขึ้นมา เพราะได้ครอบคลุมไปถึงการให้ผู้ประกอบการ ไม่ใช่เพียงผู้ซื้อเข้าถึงช่องทางการค้าขายออนไลน์ เป็นการเปิดประตูทางอากาศใหม่ๆ อบรมให้มีความคุ้นเคยกับการใช้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ เปรียบเสมือนการให้เบ็ดตกปลาไม่ใช่การให้โครงการแจกเงิน เพราะเราต้องการให้คนทุกกลุ่มรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของความมั่นคงร่วมกัน

 

”อนุทิน” ประกาศเวทีวปอ. ”กัมพูชาหมดโอกาสกลับโต๊ะเจรจา”

 

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่เพียงพอ ในรัฐบาลของตนยังให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงเชิงบูรณาการคือการเชื่อมโยงนโยบายเศรษฐกิจ และความมั่นคงเอาไว้ด้วยกัน คำว่าการบูรณาการ ตนเพิ่งมาเข้าใจเมื่อไม่กี่ปีมานี้ รู้ว่าแปลว่าร่วมกัน เวลาไปพูดที่ไหนคิดอะไรไม่ออกก็ใช้คำว่าบูรณาการ

 

แต่เดี๋ยวนี้ในยุคสมัยนี้การทำงานร่วมกัน เพื่อแก้ปัญหาของบ้านเมือง เราขาดคำว่าบูรณาการไม่ได้ เพราะถ้าเราไม่บูรณาการร่วมกัน ก็จะเป็นการเสียศูนย์ แม้แต่ในสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.เอง ที่ทุกวันนี้เราต้องประชุมกันบ่อย เพราะมีเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราใช้กลไกของสมช. ซึ่งถือเป็นการ ใช้การบูรณาการร่วมกัน

 

คนทั่วไปคิดว่าสมช.คือหน่วยงานด้านความมั่นคง ที่ประกอบไปด้วยทหารของทัพเท่านั้น แต่จริงๆแล้วไม่ใช่แต่ในสมช.มีทั้งกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม และมีข้าราชการที่ทำงานเกี่ยวกับความมั่นคงภายใน เพราะหากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปจะไม่ครอบคลุมเวลาจะต้องตัดสินใจในสิ่งที่สำคัญให้กับประเทศของเรา ดังนั้นเดี๋ยวนี้จะจัดการอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่ๆ ตนขอย้ำว่าเราทำงานกันเป็นแผง มากันยกแผง

 

นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า และไม่เพียงต่อสู้กับประเทศเพื่อนบ้านเพียงเท่านั้น ในประเทศเอง ก็เจอปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ การปราบปรามสแกมเมอร์ ถือเป็นปัญหาที่ต่อเนื่องมา ในหลายรัฐบาล แต่มาหนักในรัฐบาลของตน ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ กับคุณภาพชีวิตของประชาชนและความเดือดร้อนของประชาชนทุกคน

 

คนที่เป็นเหยื่อสแกมเมอร์มีการศึกษาหมด ไม่ใช่ตาสีตาสา แต่ตรงกันข้าม คนที่ไม่มีการศึกษาไม่ค่อยถูกหรอก เพราะเข้าไม่ค่อยถึง โอนเงินไม่ค่อยเป็น มือถือก็ไม่มี การบูรณาการความร่วมมือนี้จึงทำให้ความมั่นคง มีความสำคัญ และมีผลต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาในสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน

 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังยกตัวอย่างว่า อย่างเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาทางรัฐบาลได้บูรณาการหน่วยงานในสังกัดราชการตลอดจนภาคเอกชน 15 หน่วยงาน เพื่อปรับอาชญากรรมสแกมเมอร์ ร่วมมือกันทำให้ทุกคนเห็นว่า หากต่างคนต่างทำปัญหาก็จะไม่ได้รับการแก้ไข การทำงานร่วมกันก็จะทำให้มีพลัง และเกิดประสิทธิภาพ

 

เราที่มานั่งรวมกันเรียนอยู่ใน วปอ.นี้ถือเป็นการบูรณาการในรูปแบบหนึ่ง จึงเชื่อมั่นได้เลยว่าทุกคนมีความรับผิดชอบในภารกิจ ที่ต่างกันนั้นก็จะต้องมาร่วมมือกันหรือบูรณาการร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาสร้างประโยชน์ ให้กับประเทศต่อไปอย่างแน่นอน

 

ขณะเดียวกัน นายอนุทิน ยังระบุอีกว่า ภาคเอกชนภาษาทหารก็คือเป็นแนวหน้า ในทางเศรษฐกิจ หลายๆประเทศ ภาคเอกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการ SMEs ถือเป็นกระดูกสันหลังของแผ่นดิน เพราะนั่นคือจำนวน ของ Real Sector หรือผู้ที่อยู่ในบทบาทด้านเศรษฐกิจตัวจริง

 

ทุกการลงทุนคือการสร้างงานสร้างรายได้ การลดแรงกดดันทางสังคม และการนำภาษี มาจ่ายให้กับภาครัฐเพื่อนำเงินเหล่านี้ พัฒนาบ้านเมืองต่อไป รัฐบาลจึงมุ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนทั้งโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจดิจิทัลและพลังงานสะอาด

 

นายกรัฐมนตรี ยังเล่าย้อนถึงการร่วมการประชุมผู้นำเอเปกเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าประเทศไทยได้เข้าร่วมการประชุมทุกวง มี หลายประเทศไม่ได้เข้าร่วมการประชุม ต้อง ไปนั่งรออยู่ข้างนอก เขารอเข้าไปในวงใหญ่ สังเกตได้เลยว่า ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามกติกาโลก ไม่ทำให้ตัวเองมีศักยภาพ ไม่ทำให้คุณได้สนใจว่า ประเทศของเรา เป็นประเทศที่เกื้อหนุนจุนเจือซึ่งกันและกันได้

 

เมื่อหลุดวงโคจรอำนาจต่อรองก็จะไม่มี เพราะฉะนั้นรัฐบาล กำลังที่จะเร่งปฏิรูปกฎหมายต่างๆ เพื่อให้เอื้อต่อผู้ประกอบการ ภาคเอกชนคงได้ยินแล้วว่ากิโยตินทางกฎหมาย ทางรัฐบาลของตนได้ให้ ศาสตราจารย์กิตติคุณบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย เป็นผู้รับผิดชอบ ที่มีทั้งความรู้และประสบการณ์ โน้มน้าวคนเก่าๆที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย

 

พร้อมระบุว่า มีข้าราชการการเมืองหรือข้าราชการ ประจำหลายคนพูดว่าเอื้อเอกชน แต่ที่พูดไปลืมว่าเงินเดือนข้าราชการ ก็มาจากเหล่านี้ เพราะถ้าเขาประกอบอาชีพประกอบกิจการแล้วเขาไม่มีผลกำไร ก็ขาดทุน ก็ไม่เสียภาษีและถ้าเก๋าขึ้นไปกว่านั้น เขาเรียกภาษีคืนด้วย

 

เพราะก่อนหน้านี้ เสีย Vat ไปก่อน บางทีจ่ายเกินไป อธิบดีสรรพากรก็เก่งดึงให้ช้า ทำให้สภาพคล่องทางการเงินของภาคเอกชนนั้นตึง หลายครั้งที่ทำนายกรัฐบาลต้องเชิญอธิบดีต่างๆช่วยเร่งทำสัญญาเร่งจ่ายเพราะเงินไม่เข้าสู่ในระบบ

 

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วปอ.68 นอกจากจะเป็นเครือข่ายที่ทำงานร่วมกันแล้ว ยังมีวปอ. 61 อีก 1 คน ที่เป็นเครือข่ายกัน ถ้าเราทำงานให้ชาติให้แผ่นดินแล้ว หลังจากนี้จะไม่มีคำว่า No แต่คำว่า Yes และ Advance ขึ้นไปเท่านั้น ต้องทำโดยทันที พร้อมกับกล่าวว่าวปอ. เป็นสถาบัน ที่เราสามารถใช้ศักยภาพ องค์ประกอบของแต่ละคนที่จะมาร่วมกันพัฒนาประเทศนี้ วันนี้ประเทศไทยเรา กลับมาอยู่ในจอเรดาร์ มีโอกาสมากมายเกิดขึ้นเพราะเราเปิดกว้าง

 

“เมื่อวานที่ประชุมสมช.ได้มีการประเมินสถานการณ์ วันนี้เราลงนามในปฏิญญา แต่ปฏิญญาผู้ที่ลงนามกับเราไม่ปฏิบัติ ในเมื่อไม่ปฏิบัติ ตนก็ไม่รู้จะเปรียบเทียบอย่างไรตนก็ต้องร้องเพลง my way อย่างตน อย่างพี่เล็ก พี่หยอย พี่ปู จะมานั่งโต๊ะก็ตะขิดตะขวงใจกันมันไม่ได้แล้ว เพราะ 4 ข้อหลัก 4 ข้อคุณไม่ทำ แต่เราทำ เราทำทุกข้อ เราต้องการให้เกิดสันติภาพโดยเร็วที่สุด

 

แต่เมื่อคุณไม่ทำ แล้วจะกลับมาทำใหม่ไม่ได้ วันนี้ประเทศไทยต้องยึดผลประโยชน์และความปลอดภัย ของประชาชนคนไทยเท่านั้น ตรงนี้มีความชัดเจนแล้ว ตนจึงบอกว่าเดี๋ยวเจรจาการค้าภาษีเป็นอย่างไร ไม่สนแล้ว หากขายประเทศนี้ไม่ได้ ก็ไปหาประเทศอื่น ภาคเอกชนต้องช่วยกัน เราจะเอาชีวิตไปฝากไว้กับประเทศประเทศเดียวได้อย่างไร

 

ภาคเอกชนเข้าใจเรื่องนี้ดี ส่วนนี้ปิดไปไม่เป็นไร ไปหาที่อื่นได้ ใช้ภาษีมากกดดันเราก็ไม่เป็นไร เพราะประเทศอื่นก็โดนผลกระทบเรื่องภาษีเหมือนกัน เราต้องมานั่งคุยกันเองท้ายที่สุดแล้วหากภาษีสูงมากจนถึง 100% ท้ายที่สุดผู้เดือดร้อน ก็คือผู้ซื้อเราเป็นผู้ผลิตเราก็ต้องมา หันมาซื้อของในบ้านเราให้ได้มากที่สุด ซึ่งเราต้องอยู่ให้ได้ในยุคที่สร้างศักยภาพให้กับตนเอง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

 

นายอนุทินยัง ย้ำในช่วงท้าย รุ่นนี้รุ่น 68 ตนรุ่น 61 ยังคุยกันรู้เรื่อง ในรอบ 10 ถึง 15 ปี ที่จะมีการพูดคุยพบปะกัน ซึ่งในที่นี้ ก็รู้จักกันกว่า 80% ก่อนถามหานายธนพร ศรียางกูร และกล่าวต่อต้องไม่มีการเมืองในวปอ.ทุกอย่างต้องหลอมรวม ไม่ให้อะไรที่ไม่ถูกไม่ต้องเข้ามาเพื่อที่จะให้ใช้คุณงามความดีทำงานให้กับบ้านเมืองไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน

 

 

 

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube