“คนละครึ่ง” สู่ “คนละครึ่งพลัส” กับความคาดหวังต้องปังกว่าเดิม
โครงการคนละครึ่ง ถือเป็นหนึ่งในรัฐสวัสดิการ ที่เป็นมาตรการ ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนเรื่องปากท้องได้เป็นอย่างดี แม้ไม่ใช่คำตอบที่ถาวรในการแก้ปัญหา เศรษฐกิจระยะยาว แต่ก็ได้พิสูจน์แล้ว ว่าสามารถเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้
โครงการของ รัฐบาลเก่า เมื่อ 3 ปีก่อน จึงถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่ในรัฐบาลปัจจุบัน และทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่มีเป้าหมายเดียวกัน คือการพยายามฉุดให้เศรษฐกิจไทย กลับมาปังอีกครั้ง ช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2568 จึงต้องติดตามว่า “คนละครึ่ง”เดิม เมื่อเปลี่ยนเป็น”คนละครึ่งพลัส” จะยัง “ขลัง” และปังได้กว่าเดิมหรือไม่
เดิมที “คนละครึ่ง” สมัยของ”บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา” มีระยะเวลาดำเนินการราว 2 ปี และสามารถเห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรม โดยมีข้อมูลจากกระทรวงการคลัง และสำนักเศรษฐกิจการคลัง เป็นเครื่องหมายการันตี และชี้วัดว่า ตลอดระยุเวลาคนละครึ่งทั้ง 5 เฟส มีเงินหมุนเวียน ในระบบเศรษฐกิจรวมกันกว่า 4.2 แสนล้านบาท จากการใช้งบประมาณตลอดทั้ง 5 เฟส รวมทั้งสิ้นราว 208,400 ล้านบาท และมีประชาชนได้รับประโยชน์ เข้าร่วมโครงการมากถึง 28 ล้านคน
แบ่งเป็น เฟสที่ 1 (ต.ค.63 – ธ.ค.63) ให้วงเงิน 3,000 บาท มีผู้ได้รับสิทธิ์ 9.98 ล้านคน มีร้านค้าเข้าร่วมกว่า 968,000 ร้าน มียอดใช้จ่ายรวมกว่า 42,044 ล้านบาท
เฟส 2 (ม.ค.64 – มี.ค.64) มีผู้ได้รับสิทธิ์เพิ่มอีก 5 ล้านคน รวมมีผู้ใช้สิทธิ์กว่า 14.79 ล้านคน และใช้งบประมาณราว 20,300 ล้านบาท,
เฟส 3 (ก.ค.64 – ธ.ค.64) มีการเพิ่มวงเงินเป็น 4,500 บาทต่อคน และขยายผู้ประกอบการจากร้านค้าทั่วไป ผู้ประกอบการรถส่งสาธารณะ รวมถึงธุรกิจประเภทบริการ มีผู้ใช้สิทธิ์สูงสุดถึง 26.34 ล้านคน มียอดใช้จ่ายสะสมรวม 221,109.8 ล้านบาท, เฟส 4 (ก.พ.65 – พ.ค.65)
เป็นโครงการส่วนต่อขยายจากเฟส 3 เพื่อช่วยพยุงกำลังซื้อของประชาชนในช่วงต้นปี 2565 โดยเพิ่มวงเงินจากเฟส 3 อีก 1,200 บาทต่อคน มีผู้ใช้สิทธิ์ราว 26.27 ล้านคน
และ ครั้งสุดท้ายเฟส 5 (ก.ค.65 – ต.ค.65) เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ การจับจ่ายใช้สอยของประชาชน โดยเพิ่มวงเงินให้ 800 บาทต่อคน มีผู้ใช้สิทธิ์รวมราว 24.02 ล้านคน ซึ่งจะเห็นว่า ตลอด 5 เฟสของคนละครึ่ง สมัย”ลุงตู่” มีการปรับปรุง และประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องจริง ๆ
ส่วน “คนละครึ่งพลัส” ที่นายกฯอนุทิน ชาญวีรกุล” เตรียมจะให้ประชาชนลงทะเบียนกันในสัปดาห์หน้า มีอะไรใหม่กว่าเดิม ที่เพิ่มเติมเข้ามาเป็นคำว่า “พลัส”บ้าง ประกอบด้วย
1 .เพิ่มช่วงอายุจากประชาชนสัญชาติไทย อายุ 18 ปี เปลี่ยนเป็นประชาชนอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
2 เพิ่มวงเงินใช้จ่าย จากเดิม 150 บาทต่อคน/ต่อวัน เป็น 200 บาทต่อคน/ต่อวัน
3. เพิ่มสิทธิพิเศษ สำหรับประชาชนที่ไม่ยื่นแบบภาษี จะได้รับวงเงิน 2,000 บาทต่อคนตลอดโครงการ ส่วนประชาชนที่ยื่นแบบภาษี จะได้รับวงเงิน 2,400 บาทต่อคนตลอดโครงการ
4 เพิ่มโอกาส ให้ผู้ประกอบการรายย่อย หรือไมโคร SME (วิสาหกิจรายย่อยที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 1.8 ล้านบาท และมีจำนวนการจ้างงานไม่เกิน 5 คน) สามารถเข้าร่วมโครงการได้
5 เพิ่มทักษะใหม่ โดยส่งเสริมให้ร้านค้าพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ในเรื่องการเงินดิจิทัล และเทคโนโลยีใหม่ ด้วย
ทั้งนี้ นักวิชาการหลายคน ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับ คนละครึ่งพลัส ว่า นโยบาย หรือโครงการ ที่เป็นสวัสดิการในลักษณะนี้ สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวของรัฐบาล ว่าจะสามารถต่อยอดไปสู่ระบบสวัสดิการถ้วนหน้า ซึ่งนั่นจะเป็นผลดีที่สุด เพราะจะทำให้ประชาชน
ได้รับการดูแลตามสิทธิ์ขั้นพื้นฐานอย่างเสมอภาค เท่าเทียม ได้จริงหรือไม่ ไม่ใช่การออกนโยบายเพื่อหวังผลทางการเมืองของพรรคการเมือง แบบฉาบฉวย ที่มาแล้วผ่านไป ไม่มีการต่อยอด จนบางครั้งถูกโจมตีว่า ซื้อเสียงล่วงหน้า ไปนั่นเอง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





