fbpx
Home
|
อาชญากรรม

ทลายแก๊งหลอกลงทุน P Miner ขุดเหรียญดิจิทัล

Featured Image
ทลายเครือข่ายหลอกลงทุน P Miner พร้อมทรัพย์สินรวมมูลค่ากว่า 120 ล้านบาท ผู้ต้องหาในคดี 4 คนยังหลบหนีลอยนวล

 

พลตำรวจตรี ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 นำสำนวนการสอบสวนจำนวน 14,000 กว่าแผ่น พร้อมด้วยทรัพย์สินที่ยึดได้จากกรณีเข้าทลายเครือข่ายหลอกลงทุน P Miner โดยตรวจค้นบ้านพักในจังหวัดเชียงใหม่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พี มายเนอร์ คริปโตเคอร์เรนซี่ กรุ๊ป พร้อมยึดทรัพย์สินทั้งรถยนต์หรูหลายรายการ อาทิ เบนท์ลี่ย์ เบนเทย์ก้า, ลัมบอร์กีนี ฮูราคาน, เฟอร์รารี่ สไปเดอร์, ปอร์เช่ 718 บ็อกสเตอร์, บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์โฟร์ และรถจักรยานยนต์ ฮาร์ลีย์ เดวิดสัน รวมถึง นาฬิกาหรู กระเป๋ารองเท้าแบรนด์เนม พร้อมด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์กว่า 120 เครื่อง ซึ่งใช้เป็นเครื่องขุดเหรียญดิจิทัล รวมมูลค่า กว่า 120 ล้านบาท มาส่งมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI หลังจากกรมสอบสวนคดีพิเศษรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษจึงส่งหนังสือถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ส่งสำนวนการสอบสวนพยานหลักฐานและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องมาให้ DSI ทำคดีต่อ ทั้งนี้หลังจากตำรวจเปิดรับแจ้งความออนไลน์ มีผู้เข้าแจ้งความแล้วมากกว่า 400 คน และมีผู้เข้าแจ้งความกับ DSI อีกมากกว่า 500 คน คาดว่าขณะนี้มีผู้เสียหายรวมแล้วมากกว่า 1,000 คน มูลค่าความเสียหายมากกว่า 1,200 ล้านบาท

 

ด้านร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ DSI เปิดเผยว่าหลังจากที่รับสำนวนคดีมาจากตำรวจไซเบอร์จะนำพยานหลักฐานและทรัพย์สินทั้งหมดมาตรวจสอบว่ามีข้อมูลใดอยู่บ้างและผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความกับตำรวจไว้มีรายได้ที่ตรงกับ DSI หรือไม่ และจะรวบรวมสรุปยอดมูลค่าความเสียหายและทรัพย์สินที่ได้อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ผู้เสียหายที่เคยเข้าแจ้งความแล้วหรือยังไม่เคยเข้าแจ้งความจะต้องทำการลงทะเบียนผ่าน QR code ที่หน้าเว็บไซต์ของกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ www.dsi.go.th ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2566 เพื่อให้พนักงานสอบสวนแยกแยะผู้เสียหายแต่ละรายและนัดหมายผู้เสียหายที่ยังไม่เคยสอบปากคำเข้ามาให้ปากคำ

เบื้องต้นจากการตรวจสอบพยานหลักฐานส่วนหนึ่งที่ตำรวจไซเบอร์นำมามอบให้พบว่า เครื่องขุด bitcoin ที่กลุ่มผู้ต้องหาอ้างว่าใช้ในการขุด bitcoin เพื่อนำมาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับผู้เสียหาย ไม่เคยมีการเปิดใช้งานเลยแม้แต่เครื่องเดียว จึงสามารถพิสูจน์ได้ในเบื้องต้นว่ากลุ่มผู้ต้องหาไม่เคยใช้เครื่องและไม่ได้มีการขุด bitcoin ตามที่โฆษณาชักชวนไว้กับผู้เสียหาย นอกจากนี้ทาง DSI จะตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มผู้ต้องหาทั้งหมดและบุคคลอื่นที่อาจจะเกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการออกหมายเรียกหรือหมายจับตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้เชื่อว่าผู้ต้องหาอาจมีการโยกย้ายทรัพย์สินบางส่วนออกนอกประเทศหรือนำติดตัวไปด้วยจึงเตรียมประสานกับตำรวจสากลให้ออกหมายแดงเพื่อควบคุมตัวผู้ต้องหากลับมาดำเนินคดี ส่วนทรัพย์สินที่ได้บางส่วนจะนำส่งให้สำนักงาน ปปง. ดำเนินการขายทอดตลาดและตรวจสอบทรัพย์เพื่อนำมาเฉลี่ยคืนให้กับผู้เสียหาย แต่ในจำนวนนี้มีรถหรู 2 คันที่ใช้ในการกระทำความผิดซึ่ง DSI ยังต้องเก็บรักษาไว้ เนื่องจากรถดังกล่าวถูกใช้ในการโฆษณาชักชวนให้ผู้เสียหายมาร่วมลงทุนจึงเข้าข่ายเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดจึงยังไม่สามารถส่งให้ทาง ปปง. นำไปขายทอดตลาดได้จนกว่าคดีจะสิ้นสุด

 

ขณะที่ พลตำรวจตรี ชัชปัณฑกาณฑ์ เปิดเผยว่า ตำรวจไซเบอร์สามารถออกหมายจับผู้ต้องหาได้ 4 คน สามารถยึดบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด 117 บัญชี และทรัพย์อื่นๆ รวมมูลค่า 112 ล้านบาท ยึดเงินสกุลดิจิตอลได้มูลค่า 21 ล้านบาท พรุ่งนี้จัดการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหาทั้ง 4 คนได้หลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้านพร้อมนำทรัพย์สินบางส่วนติดตัวไปด้วยแต่ยังไม่ทราบว่าจะมีจำนวนมากน้อยขนาดไหน ทั้งนี้ขณะที่คดีดังกล่าวอยู่ในมือของตำรวจไซเบอร์ได้ทำการเรียกสอบปากคำผู้เสียหายไปแล้วรวม 400 ปาก พร้อมไล่ยึดอายัดทรัพย์สินมาได้ตามจำนวนที่นำมาส่งมอบในวันนี้

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube