ปรากฎการณ์ ชัชชาติ แลนสไลด์ ไม่เพียงสร้างแรงสั่นสะเทือนในเมืองกรุงศิวิไลซ์ เท่านั้น แต่ยังส่งผลไปยังระดับโครงสร้างการเมืองไทย ในอนาคตต่อจากนี้ไป
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นได้ถูกตีความหมายไปหลากหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นสัจธรรมคือ คนกรุงเบื่อหน่าย รัฐบาลและ ผู้ว่าฯกทม. ที่มาจากการแต่งตั้งโดยคสช.และแม้ความคิดเห็น หรือปฏิกิริยาจากฝั่งผู้มีอำนาจ จะไม่ออกอาการมากมายนัก แต่สัมผัสได้ถึงความหงุดหงิด ความร้อนรุ่ม ในท่าทีและวาจาที่หลุดหล่นมา
ประมุขสูงสุดฝ่าย บริหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงทัศนะว่า” กทม.เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศไทยเท่านั้นเอง ก็เป็นความคิดเห็น ความชอบพอของประชาชน ก็ว่ากันไป ตามกลไกของประชาธิปไตย ” เมื่อถามว่าผลคะแนนสะท้อนถึงภาพรวมการเลือกตั้งใหญ่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ไม่สะท้อนอะไรทั้งนั้น ไม่สะท้อนอะไรกับผม ซึ่งพรรคที่สนับสนุนรัฐบาลผม พรรคพลังประชารัฐก็ไม่ได้ส่งลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่า”
ขณะเบอร์ 2 รัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ บอกว่า รัฐบาลขอร่วมแสดงความยินดีและพร้อมสนับสนุนการทำงานของนายชัชชาติ ตามที่เคยบอกแล้วว่าไม่ว่าใครจะได้เป็นผู้ว่าฯกทม. เราก็จะสนับสนุนการทำงาน ส่วนพรรคพปชร.ต้องมาทบทวนว่ามีอะไรที่ผิดพลาดในเรื่องการทำงาน ต้องมาแก้ไข
ทั้งนี้อย่าลืมกันว่า ผู้สมัคร ที่พลังประชารัฐหนุนหลังคือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เพราะมาจากการทำคลอดโดยอำนาจคสช. ขนาด”บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ยังต้องหลบทางให้ แถมช่วงก่อนเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ยังมีการปล่อยข่าวให้เลือก พล.ต.อ.อัศวิน เพราะเป็นการเลือกตามยุทธศาสตร์ ไม่เลือกเรา เขามาแน่ แต่สุดท้ายแล้วคะแนนทั้ง พล.ต.อ.อัศวิน นายสกลธี ดร.เอ้-สุชัชวีร์ และเจ๊รสนา รวมกัน 4คน ยังไม่ใกล้เคียง 1.3ล้านเสียงของชัชชาติ เลย
ปรากฎการณ์ ชัชชาติ ทำให้หวนนึกถึง งานวิชาการชิ้นหนึ่ง ของ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง ‘สองนคราประชาธิปไตย’ ที่นำเสนอไว้เมื่อปี 2537 มีทฤษฎีที่บอกว่า คนต่างจังหวัดเลือกรัฐบาล แล้วคนกรุงล้มรัฐบาล ซึ่งดร.เอนกมองว่า คนชนบทเป็นฐานเสียงที่แน่นหนาของรัฐบาลมาหลายยุคหลายสมัย และพลังเสียงของพวกเขาเหล่านี้ก็สามารถเลือกรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศได้
ซึ่งแตกต่างจากคนกรุงเทพฯ ที่มีความเห็นที่แตกต่างกัน และมักจะเป็นจุดเริ่มต้นวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล โดยเริ่มส่งแรงกดดัน และเกิดการขับไล่ในที่สุด ตามทฤษฎีที่กล่าวว่า “คนชนบทเลือก คนเมืองไล่” แต่ต่อมาทฤษฎีนี้ ถูกเปลี่ยนแปลงไป ในช่วงที่มีการปลุกระดมไล่ทักษิณ ของกลุ่มพันธมิตร ต่อด้วยการไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยกลุ่มกปปส. ที่การเมืองภาคประชาชนเข้มแข็งขึ้น ทำให้เห็นประชาชนในต่างจังหวัดมาบุกกรุงไล่นายกฯในช่วงนั้น”
และในปัจจุบัน 2565 คนที่ไปลงคะแนนเลือกผู้ว่า กทม. ส่วนใหญ่รู้ดีว่า พล.ต.อ.อัศวินเป็นคนของใคร นายสกลธี เป็นเด็กในคาถาของใคร เจ๊รสนา มีใครหนุนอยู่เบื้องหลัง หรือดร.เอ้-สุชัชวีร์ที่สวมเสื้อคลุมประชาธิปัตย์ จนโดนรับน้องจนคะแนนทิ้งห่างชัชาติกว่า 5เท่า และในทางกลับกัน ต่างรู้ดีกันว่า ชัชชาติ แม้จะประกาศตัวเป็นอิสระ แต่เรื่องราวในอดีตเคยเป็นลูกน้องใคร เคยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลใคร ทุกคนรู้เห็นกันหมด
และแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะบอกว่าผลเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ไม่สะท้อนการเมืองภาพใหญ่ แต่ในความเป็นจริง ระบอบ”ประยุทธ์ “ที่ก่อร่างสร้างตัวมา กว่า 8ปี นั้นได้ถูกเขย่าอย่างรุนแรงด้วยน้ำมือของ”ชัชชาติ” สอดคล้องกับเฮียโทนี่ ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยผ่านวิดีโอคอล ว่าผลการเลือกตั้งผู้ว่ากทม. และส.ก. สะท้อนความทุกข์ยากที่ประชาชนเผชิญมาตลอด 8 ปี หลังการรัฐประหารของ พล.อ. ประยุทธ์ อันเนื่องมาจากการ “ชัตดาวน์ กรุงเทพฯ”
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews