30ปี พฤษภาทมิฬ กับ 8 ปี ประยุทธ์ ทะมึน
วันที่ 17 -21 พฤษภาคม 2535 ถูกขนานนามว่า “พฤษภาทมิฬ”อันมีปฐมเหตุมาจากการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ที่ยึดอำนาจจากรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อปี 2534 ต่อเนื่องถึงถึง เดือนพฤษภา 2535
เกิด เหตุการณ์การชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย มีการปราบปรามและปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกับประชาชนผู้ชุมนุม มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
วันนี้ ครบรอบ 30 ปี พฤษภาทมิฬ” อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’35 ระบุว่า ญาติวีรชนพฤษภา’35 ได้อโหสิให้กับ พล.อ.สุจินดา คราประยูร เพื่อให้เกิดความปรองดองและสันติสุขขึ้นในสังคมไทย แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 2 ครั้งล่าสุด คือ 19 ก.ย.2549 และ 22 พ.ค.2557
ทำให้สังคมไทยเกิดความแตกแยกร้าวลึกถึงระดับเด็กเยาวชน และยังส่งผลกระทบถึงหลายภาคส่วนย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน หากทุกฝ่ายไม่ถอดบทเรียนและหาทางออกร่วมกันเพื่อขจัดเงื่อนไขความรุนแรง ก็อาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อนประวัติศาสตร์ขึ้นอีก และจะรุนแรงกว่าทุกครั้ง
ขณะที่ อีกหนึ่งตัวละครที่ร่วมในเหตุการณ์ด้วยอย่าง จตุพร พรหมพันธ์ ประธาน นปช. แสดงทัศนะว่า ครบรอบ 30 ปีพฤษภาทมิฬ แต่ประเทศก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ประเทศไทยยังอยู่ในวงจรอุบาทว์สลับอำนาจนักการเมืองกับทหารมาโดยตลอด
ซึ่งนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ประเทศล้าหลัง ซึ่งตนอยากให้ทุกฝ่ายเห็นบทเรียนของ 30 ปีนี้ เพราะถ้าประชาชนสามัคคีกัน จะไม่มีอำนาจเผด็จการที่ไหนพังพลังของประชาชนได้ “พลังมือเปล่า มันใหญ่กว่าพลังที่มีอาวุธทั้งปวง”
ส่วน นักวิชการด้านการทหาร อย่าง สุรชาติ บำรุงสุข ให้ความเห็นว่า “พฤษภาทมิฬ” มิได้ก่อให้เกิดการจัดความสัมพันธ์พลเรือน-ทหารใหม่ เพื่อรองรับต่อกระบวนการสร้างประชาธิปไตยของไทยแต่อย่างใด ซึ่งในอีกด้านหนึ่งของคำตอบเช่นนี้หลังจากเหตุการณ์ปี 2535
จึงเป็นเสมือนกับการที่สังคมการเมืองไทยนั่งรอการมาของความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่ เพื่อที่จะนำไปสู่การยึดอำนาจอีกครั้ง รัฐประหาร 2549 ตามมาอีกครั้งในปี 2557 คือคำตอบในกรณีนี้ที่ชัดเจน
ไทกร พลสุวรรณ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เปรียบเทียบว่า ผู้นำทหารวันนั้น พล.อ.สุจินดา เคยกล่าวไว้ว่า “ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติ” เพราะเคยบอกจะไม่กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก แต่ไม่เหมือนนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ที่ตระบัดสัตย์ ทำให้ประชาชนวันนี้ก็ยังนิ่งไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง 2 ยุคของ 2 ผู้นำเผด็จการวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือจิตวิญญาณประชาชนที่ไม่ย้อมก้มหัวให้เผด็จการทหาร
ด้าน นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี บอกว่า หวังว่าเหตุการณ์ประเภทนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย เพราะถ้าเกิดขึ้นมาแล้ว เราไม่โต แต่เราจะย้อนหลังเป็นเด็กมากขึ้นมากขึ้นทุกทีๆ
เหตุการณ์เหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกว่าผมต้องรักประเทศชาติและคนไทยมากขึ้น เพราะในสังคมมีแต่ความเกลียดชัง ดูถูกดูแคลน สิ่งเหล่านี้จะต้องหมดไป ส่วนจะมีคำแนะนำ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างไร นายอานันท์ กล่าวว่า ไม่มีข้อแนะนำ เพราะไม่มีตำแหน่ง อำนาจ และความรับผิดชอบ
อย่างไรก็ตามครบรอบ 30 ปี พฤษภาทมิฬอยู่ในช่วงที่ฝ่ายต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับการกอดอำนาจมา 8ปีแล้ว เป็นเงาทะมึน ที่ปกคลุมสังคมไทยมายาวนานแล้ว น่าจะถึงเวลาที่จะวางมือ ถอนตัว และลงจากหลังเสือได้แล้ว ฉะนั้นแล้วจึงต้องติดตามว่า พล.อ.ประยุทธ์จะลงจากหลังพยัคฆ์อย่างปลอดภัยได้อย่างไร
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews