fbpx
Home
|
ทั่วไป

ศบค.จับตาATKกทม.พุ่งห่วงหมอเข้มขนส่ง

Featured Image
ศบค. พบตรวจ ATK กทม. เป็นผลบวกสูง เตือนเป็นลบก็ต้องเฝ้าระวังแยกกักตัว สั่งทุกจังหวัดเข้มดูแลบุคลากรแพทย์หลังติดเชื้อต่อเนื่อง

แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. เผยว่า กรมควบคุมโรครายงานการตรวจหาเชื้อแบบ PCR ทั่วประเทศพบอัตราผู้ติดเชื้อ 20% คือ ตรวจผู้ทีมีอาการ PUI หรือผู้ที่มีปัญหาทางเดินหายใจ 10 คนตรวจพบติดเชื้อ 2 คน แต่ กทม. พบถึง 30% คือตรวจ 10 คน พบ 3 คนเพราะฉะนั้นเน้นย้ำให้ทุกโรงพยาบาลยังต้องตรวจคัดกรองโควิดให้ผู้ป่วยที่มีอาการเนื่องจากอัตรา 30% ทางการแพทย์ยังถือว่าสูงมาก

ด้านความตรวจหาเชื้อด้วย ATK กทม. พบว่ายังมีปริมาณผลบวกค่อนข้างสูง สิ่งสำคัญกรมควบคุมโรค ระบุว่า การตรวจ ATK พบผลลบลวงถึง 10% แม้ว่าผลเป็นลบแต่ไปตรวจด้วยวิธี PCR เป็นบวก จึงย้ำว่าหากตรวจด้วย ATK เป็นผลลบยังต้องเฝ้าระวังสังเกตอาการและแยกกักตัว โดยให้ทุกจังหวัดเฝ้าระวังการตรวจ และเฝ้าระวังบุคลากรทางการแพทย์ เนื่องจากมีการรายงานพบบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง

โดยกรมอนามัยมีข้อมูลหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อรายงานตัวเลขประปรายในเดือน ธ.ค. 63 และพบว่าในเดือน ส.ค. 64 มีจำนวน 1,506 ราย และมีการรายงานตัวเลขเสียชีวิตถึง 47 ราย เฉลี่ย 1-2 รายต่อวัน ซึ่งมีการรายงานทารกเสียชีวิตด้วย รวมถึงพบว่าระหว่างการให้นมบุตรจะมีการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกอีกด้วยโดยกรมอนามัยได้หารือทุกภาคส่วนทั้งกระทรวงแรงงาน, กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือ พม., ทีมวิชาการของราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและ กทม. เสนอที่ประชุม EOC กระทรวงสาธารณสุขรวมถึงที่ประชุม ศปก.ศบค. วานนี้ (3ก.ย.64) โดยได้ข้อสรุปว่า ให้ทุกโรงพยาบาลที่รับฝากครรภ์หญิงตั้งครรภ์ หากหญิงตั้งครรภ์เกิน 12 สัปดาห์เร่งติดตามให้เข้ารับการฉีดวัคซีน หรือแม้ว่าคลอดแล้วระหว่างให้นมบุตรก็ต้องให้เข้ารับการฉีดวัคซีนหากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อขอให้โรงพยาบาลที่รัยบฝากครรภ์ดูแลด้วย หากโรงพยาบาลไม่มีศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยโควิด เช่น ศูนย์อนามัยให้ส่งต่อตามระบบการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ยกเว้นกรณีฉุกเฉินมีอันตราย เช่น ตกเลือด น้ำเดิน ครรภ์เป็นพิษ หรือเด็กดิ้นน้อยลง ให้โรงพยาบาลใกล้บ้านดูแลฉุกเฉินหญิงตั้งครรภ์เหล่านี้ด้วย

ศบค.พบป่วยใหม่ 14,653 ราย สะสม 1,249,140 ราย เสียชีวิตอีก 271 รักษาหาย 18,262 ราย กลับบ้านแล้ว 1,079,966 ราย ฉีดวัคซีนแล้ว34.29 ล้านโดส ยังห่วงแคมป์ก่อสร้าง

แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. รายงานตัวเลขสถานการณ์ประจำวันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2564 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 29 ของโลก พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 14,653 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยรายใหม่ 14,397 ราย ผู้ป่วยในเรือนจำ 256 ราย พบผู้ป่วยยืนยันสะสมทั้งหมด 1,249,140 ราย รักษาอยู่ 159,800 ราย รักษาในโรงพยาบาล 37,770 ราย และโรงพยาบาลสนาม 122,030 ราย เป็นผู้ป่วยอาการหนัก 4,740 ราย และต้องใส่ท่อช่วยหายใจ 1,011 ราย รักษาหายกลับบ้านแล้ว 1,079,966 ราย หายเพิ่ม 18,262 ราย เสียชีวิตใหม่ 271 ราย รวมเสียชีวิต 12,374 คน โดยผู้เสียชีวิตรายใหม่เป็นผู้ป่วยชาย 134 ราย ผู้ป่วยหญิง 137 ราย เป็นชาวไทย 264 ราย, เมียนมา 4 ราย, กัมพูชา, อินเดียและไม่ระบุสัญชาติ ประเทศละ 1 ราย แบ่งเป็นกรุงเทพมหานคร 79 ราย, ปริมณฑล 66 ราย, ภาคใต้ 11 ราย , ภาคอีสาน 19 ราย, ภาคเหนือ 6 ราย และภาคตะวันออก 90 ราย

สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 14,395 ราย เป็นผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศเข้า State Quarantine 2 ราย เป็นการค้นหาเชิงรุก/โรงงานและในชุมชน 1,235 ราย ค้นหาเชิงรุกในเรือนจำ 256 ราย และเข้าระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ 13,160 ราย

ด้านยอดการฉีดวัคซีนในประเทศไทยรวม 34,292,537 โดส สะสมแบ่งเป็นฉีดวัคซีนเข็มแรก 24,542,140 ราย เพิ่มขึ้น 394,608 ราย เข็มที่สองจำนวน 9,152,799 ราย เพิ่มขึ้น 468,104 ราย และเข็มที่สามสะสมจำนวน 597,598 ราย เพิ่มขึ้น 2,362 ราย โดยแพทย์หญิงอภิสมัย ระบุว่า หากผู้ติดเชื้อติดเชื้อหลังจากฉีดวัคซีนเข็มที่หนึ่ง หลัง 12 สัปดาห์ขอให้เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่สองด้วย รวมถึงที่ประชุม ศบค. ชุดเล็กมีความเป็นห่วงตามแนวชายแดนเรื่องการเดินทางข้ามพื้นที่ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านมีการติดเชื้อมากขึ้น จึงจำเป็นต้องเข้าประเทศให้ถูกระบบ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ จึงเน้นย้ำให้ช่วยกันดูแล โดยที่ประชุม ศบค.ชุดเล็กมีความเป็นห่วงแคมป์ก่อสร้าง โดยตัวเลขบางพื้นที่ยังไม่สูง แต่ลักษณะแคมป์ก่อสร้างมีความสำคัญ เพราะมีการหมุนเวียนแรงงาน

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube