fbpx
Home
|
ไลฟ์สไตล์

ตำนาน ความเชื่อเกี่ยวกับเลข 13 เลขแห่งความโชคร้าย

Featured Image

          เชื่อว่านักอ่านจำนวนไม่น้อย คงเคยได้ยิน ได้ฟัง เรื่องอาถรรพ์ของเลข 13 รวมทั้งเรื่องของความโชคร้ายที่จะเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 13 ซึ่งคนไทยเราจะไม่ค่อยมีความเชื่อในเรื่องของศุกร์ที่ 13 สักเท่าไหร่นัก แต่ในทางกลับกันทางฝั่งของตะวันตกจะถือว่าเลข 13 เป็นเลขอัปมงคล เป็นลางสังหรณ์ของความโชคร้าย แต่ความเชื่อนี้มาจากไหน และเหตุใดผู้คนจำนวนมากถึงมองว่าเป็นตัวเลขอาถรรพ์ วันนี้มาทำความรู้จักไปพร้อม ๆ กัน

ความเชื่อที่ว่าวันศุกร์ที่ 13 เป็นวันที่ไม่ดีเริ่มต้นมาจากไหน?

          เล่าย้อนกลับไปสมัยโบราณ ความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับเลข 13 ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เพราะในหลายๆวัฒนธรรม คนมีความเชื่อกันว่าเลข 12 นั้นถือเป็นเลขที่ดี เป็นตัวเลขที่สมบูรณ์อยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นเลข 12 จะถือเป็นเลขที่อยู่รอบตัวเรามากที่สุด อย่างเช่นเดือน 12 เดือน ,ราศี 12 ราศี รวมทั้ง มหาเทพของโอลิมปัส ก็มี 12 องค์ ,ภาระกิจของเฮอร์คิวลิสก็มี 12 ภารกิจ เพราะฉะนั้นอะไรที่มันเกินเลข 12 ไป จะถือว่าเป็นเลขที่ไม่ดี

          ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงเลข 13 ในยุคต่อๆมา โดยเฉพาะในชาวตะวันตก โดยชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก มีความเชื่อสืบต่อกันมาว่าเลข 13 เป็นเลขที่นำมาซึ่งความโชคร้าย อัปมงคล สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ในคริสต์ศาสนา ที่ครั้งพระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน หลังจากที่รับประทานอาหารมื้อสุดท้าย 

          หรือที่รู้จักกันในชื่อ “The Last Supper อาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซู” ผลงานภาพวาดจากศิลปินสุดโด่งดังอย่าง เลโอนาร์โด ดาวินชี Leonardo da Vinci ที่พระเยซูรับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้ายร่วมกับเหล่าสาวก ซึ่งจำนวนคนที่รับประทานอาหารมีอยู่ร่วมกันทั้งหมด 13 คน และวันที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนก็ตรงกับวันศุกร์

          แต่ในอีกด้านหนึ่ง ชาวคริสต์จะเรียกวันศุกร์ว่า Good Friday (วันศุกร์ประเสริฐ) เพราะถือว่าเป็นวันสำคัญอีกหนึ่งวันทางศาสนาคริสต์ เป็นวันที่พระเยซูได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ตามความเชื่อ 

          ส่วนเรื่องที่เลข 13 เกี่ยวข้องอะไรกับวันศุกร์นั้น เกิดในช่วงศตรวรรษที่ 19 – 20 ใน ค.ศ.1907 นักค้าหุ้นแห่งบอสตัน ชื่อ Thomas William Lawson ได้ตีพิมพ์หนังสือที่ชื่อว่า Friday the Thirteenth ซึ่งเนื้อหาในหนังสือไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเลขอาถรรพ์ หรือตำนานอะไรเลย แต่เป็นเรื่องราวของนักธุรกิจที่พยายามจะล้มตลาดหุ้นในวันที่โชคร้ายที่สุดของเดือน ได้เอาความเชื่อเกี่ยวกับวันอาถรรพ์นี้ เพื่อที่จะปั่นตลาดหุ้นให้ร่วงอย่างหนัก ทำให้วันศุกร์ 13 ในปัจจุบันกลายเป็นวันหวาดผวาของนักลงทุน 

          เมื่อหนังสือได้ถูกตีพิมพ์ออกมา และได้รับความนิยมในการอ่านเป็นอย่างมาก ทำให้หนังสือเรื่อง Friday the Thirteenth กลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง มีคนเอาไปทำเป็นภาพยนตร์ สุดท้ายแล้วคนในยุคนั้นก็เลยเชื่อมโยงว่า วันศุกร์ที่13 เป็นวันไม่ดี (คล้ายๆกับตอนปี 2012 ที่มีภาพยนตร์เรื่อง 2012 วันสิ้นโลก คนก็จะมีความเชื่อแบบนั้น)

ความเชื่อเรื่องศุกร์ 13 จากทางตำนานของนอร์ส

           จุดเริ่มต้นความเชื่อเรื่องศุกร์ 13 นั้น เชื่อมโยงกับความเชื่อที่ว่า เทพโลกิ ได้พังประตูเข้างานเลี้ยงในฐานะแขกผู้ที่ไม่ได้รับเชิญคนที่ 13 และหลอกลวงให้เทพฮอด ยิงเบาเดอร์น้องชายโลกิเอง ซึ่งเบาเดอร์เป็นเทพแห่งแสงสว่าง ความสุข และความดีงาม ด้วยลูกศรปลายมิสเซิลโท ทำให้เบาเดอร์ถูกฆ่าตายในทันที เป็นจุดเริ่มต้นการฆ่าล้างเทพในเหตุการณ์ ‘แร็กนาร็อก’

          ความเชื่อของเลขอาถรรพ์นี้ได้ถูกเผยแพร่ไปทางตอนใต้ของยุโรป โดยมีความเชื่อที่ว่ามีคน 13 คนร่วมทานอาหารมื้อสุดท้ายกับพระเยซู ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีหลักฐานใดที่สามารถยืนยันวันและเวลาดังกล่าวได้ ประชาชนจึงถือเอาวันศุกร์ที่ 13 เป็นวันโชคร้ายจนเมื่อมาถึงศตวรรษที่ 19

          แนวคิดเรื่องวันศุกร์เป็นวันโชคร้ายเริ่มขยายในวงกว้างมากขึ้น อาทิเช่น วันศุกร์คือวันที่อดัมและเอวากินผลไม้ต้องห้ามจากสวนอีเดน ,วันที่ลูกชายของอดัมและเอวาฆ่ากันเอง ,วันที่วิหารโซโลมอนถูกทำลาย และเป็นวันที่เรือโนอาห์ออกเดินทางในวันน้ำท่วมโลก

          จากหลาย ๆ แนวคิด หลายเรื่องเล่า เลข 13 จึงถือว่าเป็นเลขแห่งความโชคร้าย ใครที่เกี่ยวข้องกับเลขนี้ก็เชื่อกันว่าจะมีแต่ความวิบัติในชีวิต ถือเป็นเลขที่สร้างความหวาดกลัวอย่างมาก จนมีคนคิดบัญญัติศัพท์เลยทีเดียว โดยเรียกคนที่หวาดกลัวอาถรรพ์ศุกร์ 13 ว่า Paraskevidekatriaphobia และเรียกคนที่กลัวเลข 13 ว่า Triskaidekaphobia

อาถรรพ์ที่เกิดขึ้นใน ศุกร์ 13

          ในวันศุกร์ที่ 13 อเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงินเกือบพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากประชาชนจำนวนหนึ่ง ไม่กล้าเดินทางไปไหน ไม่กล้าทำอะไร ไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน

          อีกเรื่องเล่าที่แปลงมาจากตำนานของชาวสแกนดิเนเวีย บอกว่า การที่มีคนที่ 13 มาร่วมรับประทานอาหารในโต๊ะเดียวกัน คนที่จะต้องตายคือคนแรกคือคนที่ลุกจากโต๊ะก่อนคนอื่น 

          อีกเหตุผลที่วันศุกร์กลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้น เพราะเชื่อกันว่านอกจากการที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนในวันศุกร์แล้ว ตามตำรายังบอกว่า วันศุกร์เป็นวันที่ใช้ประหารนักโทษ อีกทั้งยังถือเป็นวัน Tip Top Day หรือว่า วันปีศาจ นั่นเอง ชาวประมงส่วนใหญ่จึงไม่นิยมออกทะเลในวันศุกร์กัน

          ตามตำนานเรื่องพระเจ้าสร้างโลกบอกว่า เมื่อครั้งพระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาใหม่ๆ อดัมและอีฟได้ละเมิดคำสั่งพระเจ้า กัดกินผลไม้ต้องห้ามของสวนอีเดนในวันศุกร์ จึงถูกพระเจ้าลงโทษให้ลงมาชดใช้กรรมในโลกมนุษย์ ซึ่งเป็นวันศุกร์เช่นกัน 

วันศุกร์ ที่ 13 ตุลาคม 1307 พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศสจับกุมตัวบรรดาอัศวินเทมพลาร์หลายร้อยคนไปทรมานและสังหาร เพื่อนำทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของฝรั่งเศส

วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1929 ตลาดหุ้นอเมริกาล่ม

วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1939 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในออสเตรเลีย

วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ.1945 เกิดสงครามทางอากาศครั้งสำคัญในนอร์เวย์ มีผู้ที่เสียชีวิตนับไม่ถ้วน

วันศุกร์ที่ 13 ปี ค.ศ. 1970 เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ พายุกระหน่ำมายังประเทศบังกลาเทศมีผู้เสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก

วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1978 เกิดการสังหารหมู่ในอิหร่าน 13 ศพ

วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1982 อาร์เจนติน่ายกกองกำลังยึดเกาะฟอล์กแลนด์ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ

วันศุกร์ ที่ 13 ปี ค.ศ. 1989 บริษัทคอมพิวเตอร์ IBM เสียหายอย่างหนักเพราะโดยไวรัสคอมพิวเตอร์โจมตีระบบ

วันศุกร์ ที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 2006 พายุหิมะชื่อ “Aphid” พัดถล่มเมืองบัฟฟาโล่ รัฐนิวยอร์ก

วันศุกร์ ที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2007 เกิดทอร์นาโดหลายลูกพร้อมกันในทางเหนือของเท็กซัส

          แม้จะมีตำนานและความเชื่อเหล่านี้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันได้ว่าเลข 13 นั้นเป็นเลขโชคร้ายจริงๆ ความจริงแล้วหลายคนมองว่า เลข 13 เป็นเลขนำโชคด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น ในอิตาลี เลข 13 ถือเป็นเลขนำโชคเพราะเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์

          ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อในเรื่องของเลข 13 หรือไม่ก็ตาม ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคล แต่ถ้าคุณพบว่าตัวเองกำลังรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับเลข 13 โปรดจำไว้ว่า ทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องของตำนานและความเชื่อเท่านั้น ควรมีสติ และโปรดใช้วิจารณญาณ

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

ขอบคุณข้อมูลจาก

www.nationalgeographic.com

edition.cnn.com

www.history.com

Point of View

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube