Home
|
การเงิน

ประกันมะเร็งคุ้มครองมะเร็งทุกประเภทไหม เลือกเองได้ไหม ?

Featured Image

หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่ผู้สนใจทำประกันมะเร็งมักสงสัยคือ “จริงหรือไม่ที่ประกันมะเร็งคุ้มครองมะเร็งทุกประเภท” และ “สามารถเลือกคุ้มครองเฉพาะบางชนิดได้หรือเปล่า” เพราะโรคมะเร็งมีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงระยะลุกลาม การทำความเข้าใจเงื่อนไขของกรมธรรม์จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้คุ้มค่ากับเบี้ยประกันที่จ่ายและสอดคล้องกับความเสี่ยงของแต่ละคน

“คุ้มครองทุกประเภท” ความจริงที่ต้องเข้าใจให้ลึกซึ้ง
โดยหลักการแล้ว ประกันมะเร็งส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้ความคุ้มครองมะเร็งหลากหลายชนิดตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ แต่คำว่า “ทุกประเภท” อาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด 100% เพราะมีรายละเอียดสำคัญที่ผู้เอาประกันต้องทำความเข้าใจอยู่ 2 ประเด็นหลัก คือ “ระยะของโรค” และ “ข้อยกเว้น”
  1. ความแตกต่างระหว่าง “มะเร็งระยะไม่ลุกลาม” และ “มะเร็งระยะลุกลาม”

    นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดของประกันมะเร็งที่หลายคนมองข้าม กรมธรรม์ส่วนใหญ่จะแบ่งการจ่ายผลประโยชน์ตามระยะของมะเร็งที่ตรวจพบอย่างชัดเจน

    • มะเร็งระยะไม่ลุกลาม (Non-invasive / Carcinoma in situ): หรือที่เรียกว่ามะเร็งระยะเริ่มต้น เซลล์มะเร็งยังอยู่เฉพาะที่ ยังไม่แพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง ประกันมะเร็งหลายแผนอาจจ่ายผลประโยชน์ให้ในส่วนนี้ แต่จะจ่ายเป็นสัดส่วนของทุนประกันหลัก เช่น 10-25% เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ และความคุ้มครองหลักยังคงดำเนินต่อไป
    • มะเร็งระยะลุกลาม (Invasive Cancer):คือภาวะที่เซลล์มะเร็งได้เติบโตและแพร่กระจายเข้าสู่เนื้อเยื่อปกติโดยรอบแล้ว ซึ่งเป็นระยะที่ต้องใช้การรักษาที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง ในกรณีนี้ บริษัทประกันส่วนใหญ่จะจ่ายผลประโยชน์เต็ม 100% ของทุนประกัน หรือที่เรียกกันว่า “เจอ จ่าย จบ”
  2. ข้อยกเว้นความคุ้มครอง (Exclusions)

    เช่นเดียวกับประกันทุกประเภท ประกันมะเร็งก็มีข้อยกเว้นที่ระบุไว้ชัดเจนในกรมธรรม์ ซึ่งมักจะเป็นมะเร็งชนิดที่มีความรุนแรงต่ำ รักษาให้หายขาดได้ง่าย หรือมีความเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น:

    • มะเร็งผิวหนังบางชนิด:โดยเฉพาะชนิดที่ไม่ใช่เมลาโนมา (Non-melanoma skin cancer)
    • มะเร็งที่เกี่ยวข้องกับภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง: เช่น มะเร็งที่เกิดจากการติดเชื้อ HIV/AIDS
    • มะเร็งที่เป็นมาก่อนการทำประกัน (Pre-existing Condition):ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการประกันภัย

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจควรศึกษานิยามของ “มะเร็งระยะไม่ลุกลาม” และ “มะเร็งระยะลุกลาม” รวมถึงรายการข้อยกเว้นในกรมธรรม์อย่างละเอียดถี่ถ้วน

เรา “เลือก” ความคุ้มครองเองได้หรือไม่ ?
คำตอบคือ “ใช่ แต่ไม่ใช่การเลือกคุ้มครองเฉพาะชื่อโรค”

เราไม่สามารถระบุได้ว่า “ขอซื้อความคุ้มครองเฉพาะมะเร็งเต้านม” หรือ “ขอเน้นที่มะเร็งปอด” เท่านั้น เพราะบริษัทประกันจะเสนอความคุ้มครองเป็นแพ็กเกจที่ครอบคลุมมะเร็งหลากหลายชนิดตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้

แต่สิ่งที่เรา “เลือกและออกแบบเองได้” คือองค์ประกอบอื่น ๆ ที่สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้แผนประกันมะเร็งเหมาะสมกับความต้องการและความสามารถในการจ่ายเบี้ยของเรามากที่สุด:
  • เลือกทุนประกัน (Sum Assured): เราสามารถเลือกวงเงินความคุ้มครองได้เอง ตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลายล้านบาท ซึ่งควรประเมินจากค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจริง ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายส่วนตัว และเงินชดเชยกรณีต้องหยุดงานเพื่อรักษาตัว (ควรพิจารณาอย่างน้อย 1-2 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายสมัยใหม่)
  • เลือกแผนความคุ้มครองเสริม (Riders): เราสามารถเพิ่มความอุ่นใจได้ด้วยการซื้อสัญญาเพิ่มเติม เช่น
    • ความคุ้มครองการกลับมาเป็นซ้ำ: แผนประกันสมัยใหม่บางแผนมอบผลประโยชน์เพิ่มเติม หากตรวจพบมะเร็งชนิดใหม่หรือการกลับมาของมะเร็งโรคเดิมหลังจากการรักษาหายแล้ว
    • ค่ารักษาพยาบาลแบบต่อเนื่อง: ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการทำเคมีบำบัด, รังสีรักษา หรือ Targeted Therapy แบบผู้ป่วยนอก
    • ค่าชดเชยรายได้: หากต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัว
  • เลือกความคุ้มครองโรคร้ายแรงอื่น ๆ: บางแผนอาจเป็นประกันโรคร้ายแรงที่ครอบคลุมโรคอื่น ๆ ด้วย เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หรือภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

 

ประกันมะเร็งไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ “one-size-fits-all” แม้เราจะไม่สามารถเลือกคุ้มครองมะเร็งเป็นรายชนิดได้ แต่เราสามารถออกแบบแผนความคุ้มครองให้เหมาะสมกับตัวเองได้ผ่านการเลือกทุนประกันและสัญญาเพิ่มเติมที่ตรงจุด หัวใจสำคัญคือการทำความเข้าใจใน “นิยาม” และ “เงื่อนไข” ของกรมธรรม์ โดยเฉพาะเรื่องระยะของโรคและข้อยกเว้น การศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้คุณได้เครื่องมือทางการเงินที่ทรงพลัง สร้างความสบายใจได้อย่างแท้จริง และพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้อย่างมั่นคง

 

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube