Home
|
การเงิน

กู้สินเชื่อบ้านแลกเงินมาซื้อตราสารหนี้สหรัฐฯ คุ้มไหม ?

Featured Image
ท่ามกลางความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก การแสวงหาผลตอบแทนที่น่าสนใจและมีความเสี่ยงที่ยอมรับได้กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของนักลงทุนหลายคน และหนึ่งในสินทรัพย์ที่กลับมาได้รับความนิยมอย่างสูงก็คือ “ตราสารหนี้สหรัฐอเมริกา” ด้วยอัตราผลตอบแทน (Yield) ที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบหลายปี ด้วยเหตุนี้ จึงมีแนวคิดที่น่าสนใจจึงเกิดขึ้น ในเมื่อบ้านของเราคือสินทรัพย์ที่ปลอดภาระ ทำไมไม่นำมาใช้เป็นหลักประกันเพื่อขอ “สินเชื่อบ้านแลกเงิน” ที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่าสินเชื่อบุคคลทั่วไป แล้วนำเงินก้อนนั้นไปลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าล่ะ?

ฟังดูเหมือนเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด แต่ก่อนที่จะตัดสินใจ เรามาวิเคราะห์กันอย่างรอบด้านว่าการ “ก่อหนี้” เพื่อ “สร้างผลตอบแทน” ในลักษณะนี้ คุ้มค่ากับความเสี่ยงจริงหรือไม่

ส่วนต่างของผลตอบแทน (Positive Carry)

หัวใจของแนวคิดนี้คือการสร้าง “ส่วนต่างของผลตอบแทนที่เป็นบวก” (Positive Carry) พูดง่ายๆ คือ ผลตอบแทนจากตราสารหนี้ > ดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านแลกเงิน
  • ต้นทุนต่ำกว่า: สินเชื่อบ้านแลกเงินมีข้อดีคืออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าสินเชื่อประเภทอื่นอย่างชัดเจน (เช่น สินเชื่อส่วนบุคคลหรือบัตรกดเงินสด) เพราะมีบ้านเป็นหลักประกันความเสี่ยงให้กับสถาบันการเงิน
  • ผลตอบแทนน่าดึงดูด: ในช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นและระยะยาวปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศอย่างมาก

หากคุณสามารถกู้สินเชื่อบ้านแลกเงินที่อัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปี และนำไปลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทน 5.5% (ตัวเลขสมมติ) นั่นหมายความว่าคุณกำลังขาดทุนตั้งแต่ยังไม่เริ่ม แต่ถ้าคุณหาตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทน 7% ได้ ส่วนต่าง 1% ก็คือกำไรของคุณ… แต่เรื่องราวมันง่ายขนาดนั้นจริงหรือ  ?

ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่มากกว่าแค่ตัวเลขดอกเบี้ย

การลงทุนในลักษณะนี้มีความเสี่ยงซับซ้อนที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งสามารถกัดกินผลตอบแทนของคุณจนหมดสิ้น หรือแม้กระทั่งทำให้ขาดทุนได้

  1. ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk): นี่คือความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดและควบคุมได้ยากที่สุด คุณกู้เงินเป็น “เงินบาท” แต่ลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็น “ดอลลาร์สหรัฐฯ”
    • ตอนซื้อ: คุณต้องแลกเงินบาทเป็นดอลลาร์
    • ตอนขาย: คุณต้องแลกเงินดอลลาร์กลับมาเป็นบาทเพื่อชำระหนี้ หากช่วงเวลาที่คุณขายตราสารหนี้ “เงินบาทแข็งค่าขึ้น” (เช่น จาก 37 บาท/ดอลลาร์ เป็น 35 บาท/ดอลลาร์) มูลค่าเงินลงทุนของคุณเมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาทจะลดลงทันที ซึ่งอาจทำให้ขาดทุนหนักแม้ว่าผลตอบแทนในรูปดอลลาร์จะดูดีก็ตาม การทำประกันความเสี่ยง (Hedging) ก็มีต้นทุนที่ต้องนำมาคำนวณด้วย
  2. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk):
    • ฝั่งสินเชื่อ: อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านแลกเงินในไทยส่วนใหญ่มักเป็นแบบลอยตัว (Floating Rate) อิงกับ MRR/MLR ซึ่งหมายความว่าหากอัตราดอกเบี้ยในประเทศปรับตัวสูงขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมของคุณก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
    • ฝั่งตราสารหนี้: หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้นอีก ราคาหน้าตั๋วของตราสารหนี้ที่คุณถืออยู่จะลดลง หากคุณจำเป็นต้องขายก่อนครบกำหนดไถ่ถอน คุณอาจต้องขายในราคาที่ขาดทุน
  3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) : ภาระผูกพันของคุณคือการชำระคืนสินเชื่อบ้านแลกเงินเป็น “รายเดือน” ในขณะที่เงินของคุณไปอยู่ในตราสารหนี้ซึ่งอาจมีระยะเวลาไถ่ถอน 2 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี คุณต้องมั่นใจว่ามีกระแสเงินสดจากแหล่งอื่นเพียงพอสำหรับผ่อนชำระในแต่ละเดือน โดยไม่ต้องแตะต้องเงินลงทุนก้อนหลัก

เหมาะกับใคร และควรทำหรือไม่?

การกู้สินเชื่อบ้านแลกเงินเพื่อซื้อตราสารหนี้สหรัฐฯ ไม่ใช่กลยุทธ์สำหรับทุกคน แต่เป็นแนวทางสำหรับ “นักลงทุนที่มีประสบการณ์” ที่มีความเข้าใจในตลาดการเงินอย่างลึกซึ้ง และที่สำคัญคือ “ยอมรับความเสี่ยงได้สูง”
กลยุทธ์นี้อาจเหมาะกับคุณ หาก:
  • คุณมีรายได้ประจำที่มั่นคง และสามารถผ่อนชำระค่างวดได้อย่างสบาย ๆ โดยไม่กระทบต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
  • คุณมีความรู้ความเข้าใจเรื่องความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยเป็นอย่างดี
  • พอร์ตการลงทุนโดยรวมของคุณมีการกระจายความเสี่ยงที่ดีอยู่แล้ว และการลงทุนครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพอร์ตเท่านั้น
  • คุณมีเป้าหมายการลงทุนระยะยาว และไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้ในระยะเวลาอันใกล้
คำแนะนำสุดท้าย

“บ้าน” คือสินทรัพย์ที่มีไว้เพื่อความมั่นคงในการอยู่อาศัย การนำบ้านไปเป็นหลักประกันบ้านแลกเงินเพื่อการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เปรียบเสมือนการเดิมพันด้วยสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดในชีวิต ก่อนตัดสินใจ ควรปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงิน ประเมินความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ และต้องแน่ใจว่าได้คำนวณผลตอบแทนและความเสี่ยงครบทุกมิติแล้ว เพราะผลตอบแทนที่หอมหวาน อาจไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะสูญเสียบ้านไปเลยแม้แต่น้อย

 

 

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube