Home
|
บันเทิงไทย

สรุปดราม่า #หมอริท ชาวเน็ตโวยบัตร 30 บาททำให้คนจนเสียสุขภาพ

Featured Image

          เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยสำหรับกิจกรรม One Man In The River หนึ่งคนว่ายหลายคนช่วย ของ โตโน่ ภาคิณ ที่ฝ่ากระแสวิจารณ์หลายฝ่ายหลายด้านมาตลอด แต่ถึงการว่ายหรือที่หลายคนมองว่าแค่ลอยน้ำเฉยๆนี้จะจบลงไป แต่ดราม่าก็ยังเกิดขึ้นต่อเนื่องอยู่ดี

          เมื่อ ริท เดอะสตาร์ อดีตนักร้องล่าฝันรุ่นเดียวกับโตโน่ที่ผันตัวมาเป็นหมอ ได้ออกมาให้ความคิดเห็นเรื่องเงินบริจาค ว่าต่อให้ว่ายข้ามน้ำโขงเป็น 10 รอบได้เงินกว่า 1,000 ล้าน หมอ-พยาบาลก็เหนื่อยเท่าเดิม 

          จนไปถึงประเด็น สิทธิรักษาของคนไทยที่ง่ายเกินไปทำให้ไม่ใส่ใจสุขภาพ จนเกิดเหตุการณ์ที่ชาวเน็ตเสียงแตกทะเลาะกันข้ามคืน ยังไม่นับดราม่าของหมอก้องที่เข้ามาร่วมด้วยอีก เรื่องราวจะเป็นอย่างไรวันนี้เราอาสาสรุปให้ฟังแล้ว

ริทประกาศ ว่าย 10 รอบหมอก็ไม่หายเหนื่อย

  • เรื่องเริ่มต้นเมื่อคืนวันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม วันเดียวกับที่โตโน่ว่ายน้ำข้ามโขงได้สำเร็จ หมอริท ออกมาโพสต์ทวิตเตอร์แสดงความยินดีที่เสียสละทำเพื่อสังคมจนประสบความสำเร็จและปลอดภัย 
  • แต่ก็ได้ฝากในมุมมองของตัวเองใน 2 ประเด็นไว้ คือ แม้ว่าจะมีเงินบริจาคมากแค่ไหน แต่บุคลากรทางการแพทย์ก็ยังเหนื่อยเท่าเดิม 

โดยข้อความทั้งหมดระบุว่า

“ยินดีด้วยกับการ #ว่ายน้ำข้ามโขง ของพี่ #โตโน่ภาคิน ในวันนี้นะครับ ที่ปลอดภัย และได้รับเงินบริจาคจำนวนมาก อย่างแรกต้องขอขอบคุณในน้ำใจและความเสียสละของพี่ที่มีต่อบุคลากรทางการแพทย์ คนที่พร้อมจะเสียสละเพื่อคนอื่นแบบพี่ ไม่ได้หาได้ง่ายเลย นับถือใจจริงๆ 

ในบทสัมภาษณ์มีหลายครั้งที่พี่พูดว่า ที่พี่มาว่ายน้ำครั้งนี้ เพราะหมอและพยาบาลเค้าเหนื่อยกว่า เสี่ยงกว่า เลยอยากขออนุญาตฝากมุมมองไว้ซักนิดครับ เผื่อพี่อาจจะลืมมองเหตุผลพวกนี้นะครับ (ไหนๆคนก็สนใจโครงการพี่เยอะแล้ว)

ข้อ 1. ต่อให้พี่ว่ายน้ำข้ามโขงเป็น 10 รอบ ได้เงินบริจาคมากว่า 1000 ล้าน หมอ พยาบาล เค้าก็เหนื่อยเท่าเดิมครับ ขอยกตัวอย่างในฝั่งของหมอนะครับ ระบบสุขภาพของประเทศไทยคือ ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า แปลว่า คนไทยจะป่วยยังไง ก็มีการรักษารองรับ

(ซึ่งจริงๆดีกับคนไทยในบางมุมนะ เช่น คนจนมีสิทธิ์เข้าถึงการรักษา แต่ข้อเสียก็คือ คนไทยไม่ใส่ใจสุขภาพ เกิดปัญหา เช่น ติดเหล้า ติดบุหรี่ และเกิดปัญหาสุขภาพตามมา ทำให้คนต้องมาโรงพยาบาลกันเยอะ) ซึ่งทำให้หมอต้องทำงานหนัก แต่ยังได้ค่าตอบแทนเท่าเดิม

โดยทุกวันนี้หมอไทยยังต้องทำงานเกินเวลาตามระเบียบกำหนด ทำให้เกิดภาวะสมองไหล หมอๆก็ออกนอกระบบโรงพยาบาลรัฐกันหมด หมอก็น้อยลง งานก็ยังหนัก ผลิตหมอเท่าไหร่ก็ไม่พอ ก็วนลูปแบบนี้ไปเรื่อยๆครับ ถึงบอกว่าเงินบริจาคเยอะแค่ไหน ก็ไม่ได้ช่วยให้หมอหายเหนื่อยครับ

ส่วนข้อ 2. พี่บอกว่าหมอพยาบาลเสี่ยง คำถามคือ แล้วใครปล่อยให้หมอพยาบาลทำงานภายใต้ความเสี่ยง? ถ้ารู้ว่าเค้าทำงานแบบเสี่ยงอยู่ ทำไมผู้มีอำนาจโดยตรงถึงมองไม่เห็นและไม่สามารถจัดการปัญหานั้นโดยเร่งด่วนได้ หรืองบประมาณไม่เพียงพอ แล้วถ้างบไม่พอจริงๆ ทำไมไม่รายงานขึ้นไป ทำไมต้องรอเงินบริจาค?

ส่วนตัวมองว่า การบริจาคไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีนะครับ แต่ที่มา หลักการ จุดประสงค์ของโครงการและการนำเงินไปใช้ต้องชัดเจน รวมถึงควรสนับสนุนการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุไปในตัวด้วยครับ ถ้าพี่สื่อสารจุดนี้ได้ด้วย คิดว่าคนไม่เห็นด้วยน่าจะน้อยลงนะครับ และทำให้โครงการของพี่ดูมีเหตุสมควรมากขึ้น”

  • โดยเหตุการณ์ก่อนหน้าๆทั้งปัญหาการเมือง โควิด-19 หมอริท ก็มักจะออกมาเป็นกระบอกเสียงและช่วยเหลือหลายด้านๆอยู่ตลอด ทำให้หลังจาก หมอริท ได้ทวีตข้อความดังกล่าวไปไม่นาน ก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันทันที
  • ซึ่งในช่วงแรกกระแสชาวเน็ตส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยในหลายเรื่องๆที่ หมอริท คนวงในได้ออกมาอธิบายการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ในหลายๆแง่ 
  • อย่างปัญหาการผลิตนิสิตแพทย์ที่ลดถอยหลงจนไปสู่ภาระของหมอและพยาบาลที่ต้องแบกรับคนไข้ที่สูงขึ้นทุกวันๆ
  • โดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐ ที่หมองานเยอะมากๆ จนทำให้หมอส่วนใหญ่สมองไหลหนีไปทำงานโรงพยาบาลเอกชนแทน ซึ่งเรื่องพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเงินบริจาคหรืออุปกรณ์ที่ โตโน่ ของเราออกมาช่วยเหลือเลย
  • แต่ในช่วงหลังก็กลับมีเสียงแตกขึ้น เมื่อชาวเน็ตหลายคนออกมาโต้แย้งบางประเด็นของ หมอริท ที่บอกว่า คนไทยเข้าถึงสิทธิการรักษาได้ง่ายเกินไป ทำให้คนไทยโดยเฉพาะคนจน ไม่ใส่ใจสุขภาพ จนผุดเป็น #หมอริท อีกครั้งนึงทันที

โซเชียลเสียงแตก บัตรคนจนทำหมอลำบาก

  • ประเด็นเฉพาะเรื่องนี้ คนที่เห็นด้วยกับ หมอริท ส่วนใหญ่ก็จะเป็นฝั่งหมอและพยาบาล เพราะเป็นคนที่ได้รับผลกระทบเต็มที่กับจำนวนคนไข้ที่เยอะในทุกๆวัน
  • โดยอย่างที่รู้กันว่า บ้านเรามีทั้งบัตร 30 บาท และ บัตรทอง ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษา ทำให้ฝั่งที่เห็นด้วยมองว่า การเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ง่ายกว่าประเทศอื่นส่งผลให้ต้องทำงานหนักมากขึ้น
  • โดยเฉพาะโรคที่ต้องรักษาโดยใช่เหตุ อย่างคนที่กินเหล้ามาหนักๆจนเลือดออกในท้อง คนขับรถเมาแล้วขับ แม้จะให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแต่ก็ยังป่วยกลับมาแบบเดิม สร้างภาระให้กับเจ้าหน้าที่โดยใช่เหตุ เอาเวลาไปดูแลเคสที่หนักกว่าและเค้าขาดแคลนหรือจำเป็นกว่าได้อีกเยอะมาก 
  • หากการรักษาเข้าถึงยากกว่านี้ก็คิดว่าคนจะรักษาสุขภาพเบื้องต้นของตัวเองดีกว่านี้ หมอและพยาบาลก็จะมีเวลาและคุณภาพตามมาด้วยเช่นกัน
  • ในขณะที่อีกฝั่ง ก็โต้แย้งประเด็นบัตรสวัสดิการคนไข้ของหมอริท โดยให้เหตุผลว่า หมอริทมองมองโลกแบบแค่บ่าแค่ไหล่ตัวเอง ไม่ได้คิดถึงชีวิตประจำวันของคนรายได้น้อยเลย
  • พร้อมชี้ว่าไม่มีใครอยากป่วยเข้าโรงพยาบาล แต่มันเป็นเหตุจำเป็น ยกตัวอย่างแม่ค้าที่ต้องตื่นมาเตรียมของตี 4 กว่าจะกลับมากินข้าว 2 ทุ่ม หรือคนทำงานโรงงานเข้ากะยิงยาว8ชั่วโมง มีความเครียดสะสมแถมเวลาที่น้อยก็เลือกหาความสุขชั่วคราว กินเหล้า สูบบุหรี่
  • ซึ่งเรื่องพวกนี้เป็นปัญหาโครงสร้างที่ต้องมองให้ลึกถึงรัฐบาลที่ต้องเข้ามาช่วยด้วยเหมือนกัน จึงไม่เห็นด้วยที่จะผลักปัญหาทั้งหมดให้กับคนจนอยู่ฝ่ายเดียว
  • รวมไปถึงเคสของพนักงานออฟฟิศบางบริษัทที่ลาป่วยแบบพักเองที่บ้านได้ แต่ก็ต้องเสียเวลาไปต่อคิวขอใบรับรอง ก็สร้างภาระให้หมอโดยใช่เหตุเหมือนกัน

หมอก้อง ขอแจมใครไม่เห็นด้วยก็เฉยไว้

  • ถึงอย่างไรก็ตาม แม้หลังจบกิจกรรม One Man and The River หนึ่งคนว่ายหลายคนให้ ของ โตโน่ ก็มีอีกฝ่ายที่ออกมาปกป้องคนทำกิจกรรมไม่แพ้กันคนที่ออกมาต่อต้านเช่นกัน

ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ดาราอย่าง หมอก้อง ที่ออกมาพูดถึงเรื่องดังกล่าวโดยใจความของโพสต์ระบุว่า

“พูดเพื่อ??? หวังดีเหรอ มันใช่เวลามั้ย ใครทำอะไรได้ก็ช่วยกันสิ จะรอคนโน้นคนนี้มาทำทำไม คนมีหน้าที่หลักๆ เค้าก็ทำอยู่ ไม่ใช่ไม่ได้ทำ อย่าอคติ  ก็การบริจาคเป็นทางที่พวกเขาสามารถช่วยแก้ไขโครงสร้างสาธารณสุข ไม่เห็นด้วยก็น่าจะเฉยไว้ คนที่เค้าทำ เค้ายอมเหนื่อยให้ส่วนรวม แม้คนที่ไม่เห็นด้วยกับกิจกรรม ด่าเค้าปาวๆ ก็ยังได้ประโยชน์ไปด้วย เพราะเขาทำ “เพื่อส่วนรวม”

จริงๆ ผมก็ไม่ได้สนิทกับโตโน่ แต่ในฐานะแพทย์คนนึง กล้าพูดได้เต็มปากว่า หมอคนนี้เห็นสิ่งที่โน่ทำแล้ว ปลื้มใจหายเหนื่อยครับ… ยิ่งเห็นว่ามีคนร่วมบริจาคมาเยอะขนาดนี้ ยิ่งหายเหนื่อยเพราะเห็นว่าในสังคมยังมีคนกลุ่มหนึ่ง ไม่เล็กด้วย ที่เห็นใจพวกเรา และอยากช่วยเหลือด้วยวิธีที่พวกเขาทำได้”

  • โดยหลังจากโพสต์ไปก็โดนชาวเน็ตโต้กลับทันที เพราะต่อให้จะเสียงแตกกับประเด็นของหมอริท แต่ท้ายที่สุดก็ยังมองว่าการบริจาคก็ยังไม่ช่วยให้คนไทยอยู่ดีกินดีขึ้น แถมยังเป็นการผลักภาระมาอยู่ที่ประชาชน แทนที่จะเสียตังค์จ่ายภาษีให้รัฐแล้ว ทำไมถึงต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อช่วยเหลือกันเองอีก
  • ทั้งนี้ ชาวเน็ตหลายคนก็ขุดวีรกรรมต่างๆของ หมอก้อง ในอดีตว่า เคยพูดคุกคาม เหยียดเพื่อนนักแสดงร่วมวงการหลายต่อหลายครั้ง จนเกิดคำถามสงสัยว่า หมอก้อง เป็นหมอได้อย่างไร หากเคยมีประวัติไม่ดีแบบนี้

          จนในตอนนี้ประเด็น #หมอก้อง ก็ได้เงียบไปและหันกลับไปโฟกัสเรื่องเดิมอย่างสวัสดิการการรักษาของรัฐที่ให้กับประชาชน ว่าท้ายที่สุดแล้ว บัตรคนจน บัตรทอง บัตรสามสิบบาทรักษาทุกโรค จะเป็นการเพิ่มภาระให้กับเจ้าหน้าที่การแพทย์โดยใช่เหตุหรือไม่ หรือรัฐบาลจะปล่อยหน้าที่ให้ประชาชนลงขันบริจาคกันเองฝ่ายเดียว

ติดตามดราม่าร้อน ประเด็นดังแบบไม่ตกเทรนด์ไปสามารถอ่านต่อได้เรื่อยๆที่ iNN Entertainment

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

 

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube