Home
|
การเงิน

จับเข่าเคลียร์หนี้ ปรับโครงสร้างหนี้อย่างไรให้รอดได้ทุกวิกฤต

Featured Image

เมื่อภาระหนี้สินเริ่มรัดตัวจนหมุนเงินไม่ทัน ความกังวลใจย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา โดยเฉพาะคำถามที่ว่า จะทำอย่างไรให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้โดยที่ “ประวัติทางการเงิน” ยังคงขาวสะอาด หลายคนเคยได้ยินคำว่า “ปรับโครงสร้างหนี้” แต่อาจยังกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าจะส่งผลเสียต่อการทำธุรกรรมในอนาคตหรือไม่ วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์จาก Krungsri The COACH แหล่งรวมความรู้ทางการเงินที่เข้าใจง่าย มาสรุปให้ฟังชัด ๆ ว่าการปรับโครงสร้างหนี้คือทางออกที่ใช่สำหรับคุณหรือไม่ และมีเทคนิคอย่างไรให้เครดิตของคุณยังดูดี แม้ต้องเข้าสู่กระบวนการนี้

รู้จักกับการปรับโครงสร้างหนี้

อธิบายให้เห็นภาพง่ายที่สุด การปรับโครงสร้างหนี้ก็คือการ “หันหน้าคุยกันใหม่” ระหว่างเรา (ลูกหนี้) และธนาคาร (เจ้าหนี้) เพื่อเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในสัญญาเดิมที่เริ่มผ่อนไม่ไหว ให้กลายเป็นสัญญาใหม่ที่สอดคล้องกับความสามารถในการจ่ายของเราในปัจจุบัน เป้าหมายสำคัญคือเพื่อป้องกันไม่ให้เราผิดนัดชำระหนี้จนกลายเป็นหนี้เสีย ซึ่งเป็นวิธีที่ Win-Win ทั้งสองฝ่าย เพราะเราก็ยังรักษาทรัพย์สิน และเครดิตไว้ได้ ส่วนธนาคารก็ยังได้รับเงินคืน แม้จะต้องยืดเวลาออกไปบ้างก็ตาม

 เปิด 5 วิธีปรับโครงสร้างหนี้ยอดนิยมที่คนเลือกทำ

เมื่อตัดสินใจเดินเข้าไปเจรจากับธนาคารแล้ว หลายคนอาจสงสัยว่าเราสามารถขอยืดหยุ่นในรูปแบบไหนได้บ้าง ในทางปฏิบัติมีทางเลือกหลากหลายที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับสถานการณ์ของแต่ละคน ดังนี้

 1. ยืดระยะเวลาผ่อนชำระ

วิธีนี้เป็นเทคนิคพื้นฐานที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องได้ทันที โดยการขอขยายเวลาในการผ่อนหนี้ให้นานขึ้น เช่น จากเดิมต้องผ่อนหมดภายใน 5 ปี ก็ขอยืดออกไปเป็น 7-10 ปี ผลลัพธ์คือยอดผ่อนต่อเดือนจะลดลง ทำให้เรามีเงินเหลือหมุนเวียนในชีวิตประจำวันมากขึ้น แต่อาจต้องแลกมาด้วยการเสียดอกเบี้ยรวมตลอดสัญญาที่เพิ่มขึ้นตามระยะเวลา

 2. พักชำระเงินต้น

เหมาะสำหรับคนที่เจอวิกฤตระยะสั้น เช่น ตกงานกะทันหันหรือรอเริ่มงานใหม่ การขอพักชำระเงินต้นจะช่วยให้ในช่วงเวลาหนึ่ง (เช่น 3-6 เดือน) เราจ่ายเพียงแค่ “ดอกเบี้ย” เท่านั้น โดยไม่ต้องจ่ายเงินต้น ทำให้ภาระรายเดือนเบาลงมาก พอสถานการณ์การเงินกลับมาปกติค่อยกลับไปผ่อนทั้งต้น และดอกตามเดิม

 3. ขอลดอัตราดอกเบี้ย

หากประวัติการผ่อนชำระที่ผ่านมาดี เราอาจเจรจาขอลดอัตราดอกเบี้ยลงชั่วคราว เพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ยที่เดินอยู่ทุกวัน การทำแบบนี้จะช่วยให้ค่างวดที่เราจ่ายไป สามารถไปตัดเงินต้นได้มากขึ้น หนี้หมดไวขึ้น หรือช่วยพยุงให้เรายังสามารถชำระหนี้ต่อไปได้ในช่วงที่รายได้ลดลง

 4. เปลี่ยนประเภทหนี้

สำหรับคนที่มีหนี้บัตรเครดิตหรือบัตรกดเงินสดหลายใบ ซึ่งมักมีอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูง การรวมหนี้เหล่านี้แล้วเปลี่ยนเป็นสินเชื่อประเภทที่มีกำหนดเวลาชำระชัดเจน (Term Loan) หรือสินเชื่อส่วนบุคคล จะช่วยลดดอกเบี้ยลงมาได้ และทำให้เรารู้กำหนดวันที่หนี้จะหมดอย่างแน่นอน ไม่ต้องกังวลกับดอกเบี้ยทบไปมาจากการจ่ายขั้นต่ำ

 5. รีไฟแนนซ์ (Refinance)

คือการกู้เงินก้อนใหม่จากธนาคารใหม่ (หรือธนาคารเดิม) ที่ให้เงื่อนไขดอกเบี้ยถูกกว่า เพื่อนำไปปิดหนี้ก้อนเดิม วิธีนี้จะช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจได้ระยะเวลาผ่อนที่ยาวขึ้น ทำให้ค่างวดลดลง แต่ต้องคำนวณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่าง ๆ ให้ดีว่าคุ้มค่ากับส่วนต่างดอกเบี้ยที่ลดลงหรือไม่

 ปรับโครงสร้างหนี้ยังไง ให้ไม่เสียประวัติทางการเงิน ?

สำหรับประเด็นนี้ ทาง Krungsri The COACH ได้ให้คำแนะนำไว้อย่างน่าสนใจว่า กุญแจสำคัญอยู่ที่ช่วงเวลาที่เราตัดสินใจเดินเข้าไปเจรจา โดยแนะนำว่าหากเริ่มรู้ตัวว่าผ่อนไม่ไหว ให้รีบติดต่อขอปรับโครงสร้างหนี้ทันที “ก่อน” ที่จะมีการค้างชำระ หรืออย่างช้าที่สุดต้องไม่เกิน 90 วัน (ยังไม่เป็นหนี้เสีย หรือ NPL) เพราะแม้สถานะในรายงานข้อมูลเครดิตแห่งชาติจะมีการระบุเงื่อนไขใหม่ แต่ก็ยังดีกว่าการปล่อยให้หนี้ค้างนานจนกลายเป็นประวัติเสียร้ายแรง

ดังนั้น ทริคสำคัญที่กูรูการเงินแนะนำคือ อย่ารอให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ การกล้าเข้าไปคุยกับธนาคารก่อนปัญหาลุกลาม คือการแสดงความรับผิดชอบ และวินัยทางการเงิน ซึ่งจะช่วยรักษาเครดิตของคุณให้ดูดีกว่าการเงียบหายไปเฉย ๆ อย่างแน่นอน

 สรุป กล้าเผชิญหน้า คือกุญแจแก้หนี้ที่ยั่งยืน

การขอปรับโครงสร้างหนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย และไม่ใช่เครื่องหมายของความล้มเหลว แต่เป็นการบริหารจัดการเงินอย่างชาญฉลาดในยามวิกฤต สิ่งสำคัญคือความกล้าที่จะเผชิญหน้า และเข้าไปเจรจากับสถาบันการเงินอย่างตรงไปตรงมา การเลือกรักษาประวัติทางการเงินไว้ ย่อมดีกว่าการหนีปัญหา เพราะตราบใดที่เรายังแสดงเจตนาที่จะชำระหนี้ ทางออกย่อมมีเสมอ

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube