Home
|
การเงิน

การทำประกันชีวิตควรได้ผลตอบแทนกี่เท่าถึงจะเรียกว่าคุ้ม ?

Featured Image

หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยที่สุดเมื่อพูดถึงการทำประกันชีวิตคือ “ต้องได้ผลตอบแทนกี่เท่าของเบี้ยที่จ่ายไป ถึงจะเรียกว่าคุ้ม?” คำถามนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และมองประกันชีวิตเป็น “เครื่องมือการลงทุน” มากกว่า “เครื่องมือบริหารความเสี่ยง” ซึ่งเป็นหัวใจหลักของมัน ในบทความนี้ เราจะมาปรับมุมมองกันใหม่ และค้นหาคำตอบว่า “ความคุ้มค่า” ที่แท้จริงของการทำประกันชีวิตนั้นวัดจากอะไรกันแน่

เปลี่ยนมุมมอง จาก “ผลตอบแทน” สู่ “ความคุ้มครอง”

สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจคือ การทำประกันชีวิตไม่ใช่การลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุด แต่เป็นการ “ซื้อความคุ้มครอง” เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นกับครอบครัวหากเราจากไปก่อนวัยอันควร เปรียบเสมือนการจ่ายเบี้ยหลักพันหรือหลักหมื่นต่อปี เพื่อ “โอนย้าย” ความเสี่ยงมูลค่าหลายล้านบาทไปให้บริษัทประกันรับผิดชอบแทน
ดังนั้น “ความคุ้มค่า” ในการทำประกันชีวิตจึงไม่ได้วัดจากตัวคูณผลตอบแทน แต่ควรมองในมิติของ “ทุนประกันที่เพียงพอ” ต่อภาระและความรับผิดชอบทั้งหมดของเราหรือไม่
หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เงินก้อนนี้จะทำหน้าที่เป็น “ตัวตายตัวแทน” ของเราในทันที เพื่อให้ครอบครัวสามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่ลำบากทางการเงิน ดังนั้น คำถามที่ถูกต้องที่เราควรถามตัวเองไม่ใช่ “จะได้เงินคืนกี่เท่า?” แต่คือ “ทุนประกันที่เรามี ครอบคลุมภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วหรือยัง?”

วิธีคำนวณ “ทุนประกันที่คุ้มค่า” สำหรับครอบครัว

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าทุนประกันเท่าไหร่ถึงจะ “เพียงพอ” และ “คุ้มค่า” สำหรับคนที่เรารัก? หลักการวางแผนการเงินที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกคือ วิธีคำนวณจากภาระค่าใช้จ่าย (Needs-Based Approach) ซึ่งคำนวณจากความต้องการทางการเงินที่จำเป็นทั้งหมดของครอบครัวหากขาดรายได้จากเราไป โดยมีองค์ประกอบหลัก 4 ส่วนดังนี้
  1. หนี้สินที่ต้องชำระ (Debts): รวบรวมหนี้สินทั้งหมดที่ยังคงค้างอยู่ เช่น หนี้บ้าน, หนี้รถยนต์, หนี้ส่วนบุคคล เพื่อให้แน่ใจว่าภาระเหล่านี้จะไม่ตกไปเป็นของคนข้างหลัง
  2. ค่าใช้จ่ายก้อนสุดท้าย (Final Expenses): ประมาณการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการงานศพและค่ารักษาพยาบาลในช่วงสุดท้าย ซึ่งอาจเป็นเงินจำนวนไม่น้อย
  3. เงินทุนเพื่อการดำรงชีพของครอบครัว (Family Living Fund): คำนวณค่าใช้จ่ายรายเดือนของครอบครัว (เช่น ค่าอาหาร, ค่าน้ำไฟ, ค่าเดินทาง) แล้วคูณด้วยจำนวนปีที่ต้องการให้ครอบครัวอยู่ได้โดยไม่ลำบาก (โดยทั่วไปแนะนำที่ 5-10 ปี) เพื่อให้พวกเขามีเวลาปรับตัว
  4. เงินทุนการศึกษาบุตร (Education Fund): หากมีบุตร ให้คำนวณค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายทางการศึกษาทั้งหมดจนกว่าบุตรจะเรียนจบในระดับที่คาดหวังไว้
สูตรคำนวณทุนประกันที่เหมาะสม
ทุนประกันที่เหมาะสม=(หนี้สินทั้งหมด)+(ค่าใช้จ่ายก้อนสุดท้าย)+(เงินทุนดำรงชีพ)+(ทุนการศึกษาบุตร)−(สินทรัพย์สภาพคล่องที่มี)

ตัวเลขที่ได้จากสมการนี้ คือมูลค่าความคุ้มครองที่ “คุ้มค่า” อย่างแท้จริง เพราะมันคือจำนวนเงินที่สามารถการันตีได้ว่าทุกความฝันและเป้าหมายที่คุณวางไว้เพื่อครอบครัวจะยังคงดำเนินต่อไปได้ แม้ในวันที่ไม่มีคุณ

แล้วตัวคูณ 10 เท่าของรายได้มาจากไหน ?

หลายคนอาจเคยได้ยินคำแนะนำว่าควรทำประกันชีวิตในกรมธรรม์ที่มีทุนประกันชีวิต 10-15 เท่าของรายได้ต่อปี ซึ่งเป็นวิธีคิดแบบง่ายที่ใช้ในการประเมินเบื้องต้นได้ดีเช่นกัน

ตัวอย่าง: หากคุณมีรายได้ปีละ 800,000 บาท ทุนประกันชีวิตขั้นต่ำที่ควรมีคือ 8,000,000 บาท

วิธีคิดนี้ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า หากนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และได้รับผลตอบแทนประมาณ 5% ต่อปี (8,000,000 x 5% = 400,000 บาท) จะสามารถสร้างกระแสเงินสดเพื่อทดแทนรายได้ที่หายไปได้ประมาณครึ่งหนึ่ง ซึ่งช่วยลดผลกระทบทางการเงินของครอบครัวได้อย่างมีนัยสำคัญ

ความคุ้มค่าของการทำประกันชีวิตไม่ได้ถูกนิยามด้วย “ผลตอบแทนเป็นตัวเงิน แต่ถูกนิยามด้วย “ความอุ่นใจ” และ “หลักประกันทางการเงิน” ที่คุณมอบให้กับครอบครัว ทุนประกันที่คุ้มค่าที่สุดไม่ใช่ทุนประกันที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด แต่คือ ทุนประกันที่เพียงพอต่อทุกภาระและความรับผิดชอบของคุณ

การวางแผนความคุ้มครองชีวิตไม่ใช่เรื่องของการคาดเดา แต่เป็นเรื่องของการคำนวณอย่างรอบคอบ การปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อวิเคราะห์ความต้องการและออกแบบแผนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและสถานะทางการเงินของคุณโดยเฉพาะ จึงเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดในการสร้างความมั่นคงที่แท้จริงให้กับคนที่คุณรัก

 

 

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube