เลขาฯ กฤษฎีกา แจง “แร่แรร์เอิร์ธ” ไทย–สหรัฐฯ ย้ำไม่ผูกพันทางกฎหมาย
ดีลระหว่าง นายกฯ อนุทิน กับ โดนัลทรัมป์ เรื่องของแร่แรร์เอิร์ธ ล่าสุด เลขาฯ กฤษฎีกา แจง “MOU แร่ แรร์เอิร์ธ” ไทย–สหรัฐฯ ผ่านครมนัดพิเศษแล้ว ย้ำไม่ผูกพันทางกฎหมาย เป็นเพียงความร่วมมือเท่าเทียม
จากกรณีที่นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ออกมาชี้แจงกรณีการลงนามใน MOU ว่าด้วย ความร่วมมือ ในการพัฒนาโซ่อุปทานของแร่สำคัญ “แรร์เอิร์ธ” ระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจและกังวลในวงกว้าง โดยเฉพาะหลังมีรายงาน จากสื่อสหรัฐฯ และเว็บไซต์ทำเนียบขาวเผยแพร่รายละเอียดของข้อตกลงดังกล่าว
นายปกรณ์ ระบุว่า MOU ฉบับนี้ไม่ใช่ข้อตกลงที่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศและ ไม่เข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่มีข้อบังคับ หรือพันธกรณีทางกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นเพียงเอกสารที่สะท้อนถึง “ความร่วมมือ
และความเข้าใจร่วมกัน” ของทั้งสองประเทศ เพื่อเปิดช่องทางให้เกิดการพูดคุยและร่วมมือในอนาคต
และ ยืนยันว่า การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมายของไทย โดย MOU ฉบับนี้ได้ผ่านการพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษแล้ว ซึ่งได้มีการตรวจสอบในทุกมิติอย่างรอบคอบ ทั้งด้านถ้อยคำทางการทูตความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงการตีความทางกฎหมาย โดยกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ร่วมพิจารณาอย่างใกล้ชิด
ซึ่งข้อตกลงนี้ ไม่ได้มีลักษณะเป็นการเปิดทางให้สหรัฐฯ ใช้เป็นเครื่องมือกดดันไทยในด้านภาษีหรือเศรษฐกิจ เพราะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายเป็นเพียงความตกลงเชิงความร่วมมือเบื้องต้น ซึ่ง ไทยเองก็สามารถไปลงทุนในสหรัฐฯ ได้เช่นกัน หากมีศักยภาพ จึงเป็นลักษณะของ “การต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน” ไม่ได้มีฝ่ายใดอยู่ในฐานะเสียเปรียบ
ในส่วนของการบริหารจัดการแร่ในประเทศไทย นายปกรณ์ยืนยันว่า กฎหมายแร่ของไทย มีความชัดเจนและครอบคลุม โดยกำหนดให้ต้องมีการเปิดประมูลและแข่งขันอย่างเป็นธรรม จึงมั่นใจได้ว่าการดำเนินงานใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแร่แรร์เอิร์ธในอนาคตจะต้องเป็นไปตามขั้นตอน และกฎหมายภายในประเทศทุกประการ ทั้งนี้ ภาครัฐจะรับข้อกังวลของสังคมไว้พิจารณาและหาทางป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
หรือ หากต้องการยกเลิก MOU ฉบับนี้จะสามารถทำได้หรือไม่ คุณปกรณ์ ระบุว่า สามารถยกเลิกได้ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในเอกสาร โดยไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะ MOU ดังกล่าว ไม่ได้ใช้คำว่า “คู่สัญญา” แต่ใช้คำว่า “ความร่วมมือ” ซึ่งแสดงถึงความเท่าเทียมกันของทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในสถานะสัญญาที่มีผลผูกพันตามกฎหมาย
นอกจากนี้ ย้ำว่า ข้อก่อนสุดท้ายใน MOU ได้ระบุชัดเจนว่า การดำเนินการใด ๆ ต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบภายในของแต่ละประเทศ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ไม่มีการละเมิดอำนาจอธิปไตยของฝ่ายใด พร้อมขอให้ประชาชนอย่ากังวลเกินเหตุ เพราะข้อตกลงนี้เป็นเพียงการแสดงเจตจำนงร่วมมือ ไม่ใช่สัญญาผูกพันทางกฎหมายแต่อย่างใด
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





