สแกมเมอร์ เขย่ารัฐบาล
ท่ามกลางแรงกดดันจากนานาชาติ ชื่อของ “กัมพูชา” ยังคงถูกจับตาอย่างใกล้ชิดในฐานะ “ศูนย์กลางของเครือข่ายสแกมเมอร์” หรือ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายข้ามชาติ ทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา
ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และเกาหลีใต้ ต่างออกมาตรการเข้มข้น ไล่ตรวจสอบเส้นทางการเงิน กระทั่งสามารถ ยึดทรัพย์สินมูลค่ารวมกว่า 4.9 แสนล้านบาท ที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายในกัมพูชา พร้อมประกาศ “ไม่ยอมรับรัฐบาลใด” ที่เพิกเฉยต่ออาชญากรรมไซเบอร์ข้ามพรมแดน
เสียงกดดันดังกล่าว ทำให้รัฐบาลของไทย ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า “เอาจริงแค่ในกระดาษ” ขณะที่ภาคประชาชน และฝ่ายค้านอย่าง พรรคประชาชน กลับออกมาเรียกร้องอย่างเปิดเผย ให้รัฐบาลประกาศ “สงครามกับสแกมเมอร์” อย่างจริงจัง
ทั้งเรียกร้องให้มีการ “กวาดล้างค่ายกักแรงงาน” ที่ซ่อนอยู่ในจังหวัดตามแนวชายแดนและตรวจสอบ “นักการเมืองระดับสูง” ที่ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนได้ส่วนเสียกับธุรกิจสีเทา
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับดูเหมือนตรงกันข้าม กับกระแสข้อเรียกร้องต่างๆ ที่อยากให้รัฐบาลไทยเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ แสกมเมอร์ ซึ่งรัฐบาลยังคงไม่มีท่าทีที่ชัดเจน มีเพียงคำสั่งให้สอบเรื่องข้อสงสัยเกี่ยวกับนักการเมืองที่มีข้อสงสัยว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับแสกมเมอร์ แต่ยังไม่มีปฏิบัติการระดับประเทศที่เป็นรูปธรรม เหมือนเกาหลีใต้ ที่ประกาศกร้าวเดินหน้าปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาอย่างจริงจัง
เนื่องจากพลเมืองเกาหลีใต้เสียชีวิตจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กระทั่ง ชาวเกาหลีใต้ 59 คนที่ถูกควบคุมตัวในกัมพูชา หลังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงออนไลน์ถูกส่งตัวกลับประเทศแล้ว
การที่รัฐบาลไทยยังไม่มีท่าทีที่จริงจังกับมาตรการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ อาจจะ “เสี่ยงสูญเสียความเชื่อมั่น” จากทั้งในประเทศและนอกประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ ที่รัฐบาลเหลือเวลาเพียง ไม่ถึง 4 เดือนก่อนยุบสภา
เสียงสะท้อนจากนานาชาติ เริ่มแสดงท่าทีแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อกัมพูชายังคงเป็นพื้นที่ “สีเทา” สำหรับอาชญากรรมไซเบอร์ หลายประเทศเตรียมพิจารณามาตรการกดดันทางเศรษฐกิจ
และชะลอความร่วมมือด้านการลงทุนในภูมิภาคหากกัมพูชาไม่สามารถควบคุมปัญหาคอลเซ็นเตอร์ได้จริง ในมุมของประชาชนกัมพูชาเอง
นักวิเคราะห์ทางการเมืองมองว่า การเพิกเฉยต่อปัญหาคอลเซ็นเตอร์ อาจเป็น “จุดเปราะบาง” ที่ทำให้รัฐบาลสูญเสียความนิยมในช่วงปลายอำนาจ เพราะปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องอาชญากรรม แต่กลายเป็น “ภาพลักษณ์ของความโปร่งใสและธรรมาภิบาล” ฝ่ายค้านใช้จุดนี้เป็นเครื่องมือโจมตี
โดยชี้ว่า การที่รัฐบาลนิ่งเฉย อาจเพราะ “คนในรัฐบาลเอง” ได้รับประโยชน์จากเครือข่ายเหล่านี้หรือไม่ คำถามจึงไม่ใช่เพียงว่า “รัฐบาลจะจัดการได้ไหม” แต่คือ “รัฐบาลกล้าจัดการจริงหรือเปล่า”
เมื่อเวลาเดินหน้าเข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนการยุบสภา รัฐบาลกำลังเผชิญทางเลือกสำคัญ คำถามคือ จะปล่อยให้แรงกดดันทั้งในและต่างประเทศพัดผ่านไปเฉย ๆ หรือจะลุกขึ้นมาทำให้เห็นว่า ประเทศไทย เอาจริงกับการล้างบางอาชญากรรมทางไซเบอร์ เพื่อกู้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยว่า มีความจริงจังกับการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์และแสกมเมอร์ ไม่แพ้ชาติใดในโลก
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





