“ฮุนเซน” ชักศึกเข้าอาเซียน – ใครชักศึกเขมรเข้าไทย?
คู่ขนานไปกับ “หน้างาน”ที่พี่ๆทหารไทย ตายจริงเจ็บจริง ไปนับสิบ จาก “ศึกเขมร” ที่แม้จะมีการ “ข้อตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข” แม้จะยังมีความ “คาใจ” จาก “คนไทย”ต่อการไปตกลงของ“ทีมเจรจา”แต่อย่างน้อย ก็ทำให้มีการดึงกลับมาสู่โต๊ะเจรจาระดับ “ทวิภาคี”ที่ระบุในข้อหารือ จะมีการพูดคุยผ่าน วงประชุม GBC วันที่ 4ส.ค.68 ที่จัดขึ้นที่เขมร
แม้จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีการนัดมายังฝั่งไทย หากแต่สิ่งตรงข้ามที่เกิดขึ้นหลัง “ข้อตกลง” คือการที่ “ฝ่ายเขมร” ยังคงละเมิดข้อตกลง ด้วยการ “ยิงไม่หยุด” นับตั้งแต่ เที่ยงคืนวันที่มีข้อตกลง “หยุดยิง” (28ก.ค.) จนถึงวันนี้ (30ก.ค.) จน “กองทัพไทย” ต้องทำหน้าที่แทนกระทรวงต่างประเทศ รัฐบาลไทย ในการ “บันทึก”ไทม์ไลน์ “การยิงไม่หยุด” ของเขมรเพื่อประนามและฟ้องโลก ว่า เขมร ยังคงระรานไทย ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง
แม้หลังจากนั้น “รัฐบาลไทย” จะออกมาขยับในช่วงสาย ผ่าน “จักรภพ เพ็ญแข” และ “จิรายุ ห่วงทรัพย์” โฆษกรัฐบาล ในขณะที่ “รัฐเขมร” ก็ก้าวนำไปอีกด้วยการพา บรรดา “ทูตทหาร” 13 ประเทศ ลงพื้นที่ “หน้างาน” ไปดูร่องรอยความเสียหายจากการทิ้งระเบิดของ F16 ไทย กล่าวหาทำลายโบราณสถาน และฟ้องโลกประจานว่าไทยเล่นใหญ่ใช้อาวุธหนักกว่าถล่มใส่เขมรหลังหยุดยิง
กระนั้นประเด็น “คู่ขนาน” ที่หลายฝ่ายทั้งแวดวงนักวิชาการด้านความมั่นคงต่างประเทศ หรือ อดีตนายทหาร นักการข่าวความมั่นคง เริ่ม แสดงความเป็นห่วง หลังฉาก “โต๊ะเจรจาที่กัวลาลัมเปอร์”
ที่ “อันวาร์ อิบราฮิม” ประธานอาเซียน เป็นเจ้าภาพ ซึ่งปรากฏ ภาพ “ผู้เล่นใหม่” เข้ามาเป็น “ตัวกลาง” และถูกตั้งข้อสังเกตในผลประโยชน์เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย ทั้งในฐานะ “เจ้าภาพ” และผู้อำนวยความสะดวก พยานอย่างเป็นทางการ ตามคำขอจากไทยและเขมรให้ไกล่เกลี่ย
สหรัฐ ในฐานะ ผู้ร่วมจัดประชุม ,จีน ในฐานะ ผู้สังเกตการณ์เจรจาสันติภาพ ไม่นับรวมความพยายามประสานไปยัง มาครง “ผู้นำฝรั่งเศส”ของ “ฮุนมาเนต” ก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกับการประสานไปยังเพื่อนร่วมรุ่นเวสปอยช์ซึ่งอยู่ใกล้ตัว “ทรัมป์”ที่มีข้อเสนอทำให้ “ทรัมป์” โดดลงมาเล่นกับเวทีความขัดแย้งระดับชายแดน โดยใช้เรื่อง “ภาษีทรัปม์”ที่จะ “ไฟนอล”วันที่ 1ส.ค.นี้ มาขู่ ไทย-เขมร ที่กลายเป็น “ข้อกังขา”และ “กังวล”ของ “นักวิชาการด้านความมั่นคง”และ “นักการทหาร”หลายท่าน
ยิ่งหลังจากนั้น นอกจากการ ออกมาโพสFB อวย “ทรัมป์”ของ “ฮุนเซน”และตัว “ทรัมป์”ก็เคลมการบรรลุภารกิจ “พระเอก” ที่ปรากฏภาพ กลาโหมเขมร เซ็นต์เข้าร่วมกการฝึกทางการทหารคอบบร้าโกล์ดกับ “สหรัฐ” ทั้งที่ 28 พ.ค.68 เพิ่งร่วมฝึก “มังกรทอง” กับกองทัพจีนไป ไม่เท่านั้นยังมีรายงานมีการเซ็นต์ เข้าร่วมยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก กับสหรัฐฯ ที่ไทยก็เคยเข้าร่วมจนทำให้ “จีน” คาใจ จนไทยต้องเข้าร่วม “กลุ่มบริด” ที่จีนเป็น “โต้โผ” ที่ก็ทำให้ “สหรัฐ” ไม่พอใจและยกมาเป็น “คำขู่” ขึ้นภาษีเพิ่มอีก 10% กับประเทศที่อยู่ในกลุ่มนี้
อย่างที่ “พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์”อดีตนายทหารนอกราชการ วิเคราะห์ว่า จีนรู้อยู่แล้วว่า “ฮุนมาเนต” โทรไปล็อบบี้ “ทรัมป์”และ”มาครง”ปธน.ฝรั่งเศส ที่อยู่คนละขั้วอำนาจกับจีน งานนี้ “จีน”เจ็บ จริงๆต้องเป็น “หวังอี้” ที่เสนอตัวเข้ามาก่อน แต่ “ฮุนเซน”ไม่ใช้แนวนี้ซึ่งตนเชื่อว่ามาจากเรื่อง “ผลประโยชน์พลังงาน”ในทะเลอ่าวไทย โดยตนทราบว่า “นายทุนใหญ่ของไทย”ไปตกลงกับบริษัทน้ำมันของชาติมหาอำนาจและแบ่งผลประโยชน์กันแล้ว ที่จะเดินเกมแบบนี้ ซึ่งทุกอย่างกำลังเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ระดับโลกเตือนสงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดในปี 70 ตนเชื่อว่า “สหรัฐ”จะต้องเข้ามาในภูมิภาคนี้ให้ได้ เพราะต้องมีการสร้าง “ฐานทัพ”คลังอาวุธ ดังนั้นภัยใกล้ตัวเราแล้ว ซึ่งน่าห่วงหาก “ผู้นำไทย”ไม่เข้มแข็งไม่มีวิสัยทัศน์ อาจนำพอประเทศรอดยาก
เช่นเดียวกับ “ดร.รัชฎา ธนาดิเรก”อดีตส.ส.กทม.ประชาธิปัตย์ ที่วิเคราะห์ว่า พื้นที่อาเซียน กับ อินโดแปซิฟิค เป็นพื้นที่ภูมิรัฐศาสตร์ที่ สหรัฐ โดยเฉพาะ “ทรัมป์”ให้ความสำคัญอย่างมากมาระยะหนึ่งแล้ว ถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางการทหารของสหรัฐ โดยเฉพาะกรณี “เขมร” ที่ผ่านมามีความสัมพันธ์ที่ดี กับจีนทั้งการซ้อมรบ และมีท่าเรือของจีน ถ้าสหรัฐจะเข้ามาอีกขาหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่น่าสนใจสำหรับเขา เช่นเดียวกับ “ไพศาล พืชมงคล”อดีตกุนซือ “รองนายกฯลุงป้อม”ที่โพสFBว่า สุดยอด!!! แผนใช้หมาไล่หมูเข้าปากเสือ สงคราม 5 วันไทยเขมรยุติแล้ว
ความจริงเปิดเผยชัดเจนแล้วว่า เขมร ได้เข้าร่วมยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก ตามหลังประเทศไทยไปแล้ว และลงนามเข้าร่วม กองกำลังผสม อาเซียน กับกองบัญชาการอินโดแปซิฟิคเรียบร้อย
โรงเรียนมะกันไปแล้ว ความสูญเสียของทั้งไทยและเขมรก็เป็นเรื่องที่ทั้งสองประเทศ รับกันไป ในขณะที่ตาตั้ม และอันวาอิบราฮิมแห่งมาเลเซียรับบทพระเอกไปเต็มๆ ส่วนรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และฝ่ายค้านคือพรรคประชาชน ก็รับบทผู้ร้ายไปเต็มๆเหมือนกัน
แต่ที่ต้องหน้าจ๋อยที่สุดก็คือจีน ที่ถูก”เหมน” และเสียหายมากที่สุด และกระทบต่อ ฐานทัพเรือและฐานทัพอากาศของจีนในเขมร อย่างรุนแรง ทั้งกระทบต่อ พลังอำนาจ ทางทหารของจีนในแปซิฟิก อย่างน่าเจ็บใจด้วย การเดินแต้มคูของฮวยเซ็งครั้งนี้ คนที่ต้องรากเลือดอีกคนคือสม รังสี หัวโจกฝ่ายค้านเขมร ที่กำลังลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศส และเสนอยกผลประโยชน์ต่างๆในภูมิภาค นี้
ให้แก่ฝรั่งเศส และสหรัฐ ก็ถูกฮวยเซ็ง ตัดหน้าไปอย่างเฉียดฉิว นี่แหละที่เขาเรียกว่า สงครามคือการเมืองที่หลั่งเลือด คู่สงครามที่ต้องหลั่งเลือด แต่ต้องเผชิญกับผลของสงครามแบบนี้ จะรู้สึกตัวกันบ้างหรือไม่ว่าใคร เป็นหมูใครเป็นหมาใครเป็นเสือ? ตื่นกันได้แล้ว.
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews