ตกใจ! รบ.อิ๊งค์ ส่งซิกกู้ 5 แสนล้าน
มีเรื่องที่ต้อง “กู้” ใช้เงินอีกแล้วสำหรับรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” เพราะล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “นายพิชัย ชุณหวชิร” ที่ควบรองนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่ง ได้ออกมาส่งสัญญาณว่าไทยอาจออก พรบ.กู้เงินอีก 5 แสนล้านบาทเพื่อออกมาตรการกระตุ้นการบริโภค และการลงทุนเพิ่มเติม เนื่องจากสงครามการค้าน่าจะกดดันเศรษฐกิจไทยไปอีกสักระยะ ซึ่งแน่นอนว่าการ กู้เงินเพิ่มในรอบนี้ “นักวิเคราะห์” ชี้ว่า ย่อมส่งผลกับหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยให้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
โดย ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ระบุว่า การที่รัฐบาลเตรียมออกมาตรการพยุงเศรษฐกิจรับมือ TRADE WAR 2.0 ซึ่งมองว่าน่าจะใช้เม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท โดยจะโฟกัสเม็ดเงิน 3 ส่วน คือ 1.การกระตุ้นการบริโภค 2.การลงทุนในประเทศ 3.การออกซอฟต์โลน เพื่อให้มูลค่า GDP ไม่ชะลอตัว ลงมากเกินไป โดยหากรัฐบาลเลือกกู้เงินเพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท จะกระทบหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่ม 3% มาอยู่ที่ 67.21% ซึ่งระยะถัดไปมีโอกาสสูงที่จะเกิดการขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็น 75-80% ซึ่งทางรัฐบาลมองว่าไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศมากนัก(CREDIT RATING) และกังวลการ ชะลอตัวของเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 มากกว่า
ทั้งนี้ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” ได้สะท้อนมุมมองเรื่องการกู้ 5 แสนล้านบาท ของรัฐบาลไว้อย่างน่าสนใจ โดยรัฐมนตรีฯธีระชัย ยอมรับว่า ทุกคนตกใจกับการที่รัฐบาลมีแผนที่จะกู้เงินดังกล่าว เพราะเป็นจังหวะที่มูดี้ส์ออกมาเตือนเศรษฐกิจไทย อีกทั้งการกู้เงิน ก็ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น และยิ่งกู้มาแจก 1 หมื่นบาท เหมือนกับไฟไหม้ฟาง ผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้มาก และที่สำคัญตั้งข้อสังเกตุว่า จะเป็นการเอื้อให้กับนายทุนของพรรคหรือไม่
นอกจากนี้ รัฐมนตรีฯธีระชัย ยังได้กล่าวกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ถึงบทบาททีมเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเน้นย้ำให้มองปัญหาข้างหน้า อย่ามองแค่ปัญหาวันนี้เท่านั้น
ขณะที่ “รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ” คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย สะท้อนมุมมองการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของ “มูดี้ส์”
ไว้อย่างน่าสนใจว่า การปรับลดลงเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในรอบหลายปี จึงเป็นสัญญาณเตือนสำคัญเรื่อง ฐานะทางการเงินการคลังของไทยที่อ่อนแอลง แม้ความสามารถในการชำระหนี้ของไทยยังค่อนข้างแข็งแกร่งก็ตาม
การปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตครั้งนี้ต่างจากการปรับลดแนวโน้มครั้งล่าสุด 17 ปีที่แล้วเมื่อปี 2551 คือ ครั้งที่แล้ว การปรับลดแนวโน้มเป็นผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินโลก Subprime Crisis ครั้งนี้เป็นผลกระทบจาก สงครามการค้า แต่สิ่งที่ต่างกัน คือ ขณะนั้น สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่แค่ 35% แต่มีปัญหาวิกฤตการณ์ ทางการเมืองรุนแรง ขณะนี้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 64% แต่ความเสี่ยงทางการเมืองน้อยกว่าปี 2551 เมื่อปี 2551 ไทยได้ใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ปีในการทำให้แนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือกลับมาสู่ระดับ “มีเสถียรภาพ”
หรือ Stable ได้ ต่อมาไทยได้รับการปรับแนวโน้มเป็นเชิงบวก หรือ Positive และ ถูกปรับลดลงจาก “เชิงบวก” มาเป็น “มีเสถียรภาพ” อีกครั้งหนึ่งในปี 2563
การสร้างฐานรายได้ใหม่ๆของภาครัฐนอกจากภาษีเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อความยั่งยืนทางการคลังในอนาคต หากเศรษฐกิจปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นในปีหน้า ก็สามารถทำงบประมาณขาดดุลลดลงได้ ก่อหนี้สาธารณะลดลงได้ ฐานะการเงินการคลังภาครัฐก็จะดีขึ้น ประเทศไทยน่าจะได้รับการปรับแนวโน้มให้กลับไปสู่ “มีเสถียรภาพ” และ “เชิงบวก” ได้ในอนาคต
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





