รัฐบาล เคาะแจกหมื่นเฟส3อายุ16-20 ปี ผ่านดิจิทัล
รัฐบาล เห็นชอบหลักการ เคาะ ดิจิทัลวอลเลท เฟส3 ให้อายุ 16-20 ปี 2.7ล.คน ยันมีเงินพอ เฟส4 มีแน่รอเวลาที่เหมาะสม
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งที่1/2568 ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยมีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมแถลงข่าว
โดยนายพิชัย กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาในส่วนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งจะต้องผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตเกินร้อยละ 3 โดย ซึ่งปัจจัยหลักจากการส่งออกและการท่องเที่ยว โดยปัจจัยที่ช่วยในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่คือการลงทุนภาครัฐ จะต้องกระตุ้นเบิกจ่ายการลงทุน ซึ่งในแต่ละปีมีการเบิกจ่ายยังไม่เข้าเป้า โดยในปีที่ผ่านมา เบิกจ่ายเพียงร้อยละ 70และในปีนี้จะผลักดันการเบิกจ่ายให้ได้ร้อยละ 80 โดยภาคเอกชน จะมีการทำงานร่วมกับ BOI ในการเชิญชวนคนให้เข้ามาลงทุนให้มากขึ้น
ในส่วนของการส่งออกมีการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 5 ในปีที่ผ่านมา ปีนี้หากทำได้ร้อยละ 4 ก็จะดีต่อเศรษฐกิจ สำหรับภาคการท่องเที่ยวจะไปดูว่าควรมีกิจกรรมอะไร ที่ทำให้คนเข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้น ใช้จ่ายมากขึ้น ทั้งหมดเป็นมาตรการที่จะนำไปสู่การบริโภค แต่ทั้งหมดยังคงมีปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงต้องมีคณะที่จะมีการพิจารณาดูร่วมกันว่าต้องทำอะไรบ้างจากนี้ เช่น การส่งออกมีปัญหาในส่วนใด สินค้าเดิมอาจไม่ตอบโจทย์ มีปริมาณที่มากหรือน้อยเกินไปจะมีการพิจารณาในที่ประชุมให้มากขึ้น การพิจารณาในเรื่องของค่าเงินจะมีการแก้ปัญหาร่วมกัน
สำหรับโครงการดิจิทัล เฟส3 ถือเป็นเฟสแรกที่มีการนำดิจิทัลมาใช้ โดยมีข้อดีกว่าการจ่ายเป็นเม็ดเงินที่ไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อจ่ายเป็นดิจิทัล จะสามารถใช้ระบบตรวจสอบผู้รับได้สามารถระบุได้ชัดเจน รวมไปถึงสามารถเจาะจงให้ซื้อสินค้าในร้านค้าขนาดเล็ก ที่กระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้กำหนด โดยระบบดิจิทัลจะสามารถทำให้เงินเข้าตามระบบได้อย่างที่ต้องการ
ซึ่งในอนาคตรัฐบาลมีการจ่ายเงินอุดหนุนหลายโครงการรัฐบาลก็อยากรู้อาจจะสามารถใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มเหล่านี้ทำให้เกิดประโยชน์ สามารถรวบรวมข้อมูลได้ สามารถวางแผนในอนาคตได้ ซึ่งการรับเงินอุดหนุนจากรัฐจะไม่ซ้ำซ้อนกัน
เศรษฐกิจดิจิทัล อาจเป็นเรื่องที่มองไม่เห็น แต่สามารถทราบข้อมูลของประชาชน เป็นประโยชน์กับการวางรากฐาน ในอนาคต สามารถใช้ได้อย่างคุ้มค่าซึ่งความคุ้มค่านั้นสามารถใช้จ่ายได้อย่างทั่วถึง การวางเงื่อนไขยืนยันได้ว่าเป็นประโยชน์และทำให้เกิดความคุ้มค่า มากที่สุดครอบคลุมคนที่ลงทะเบียนไว้แล้ว และการเลือกกลุ่มอายุตั้งแต่ 16-20 ปี
กลุ่มนี้คือกลุ่มในวัยเรียน สามารถนำเงินในส่วนนี้ ไปช่วยเหลือผู้ปกครองได้ และสำหรับกลุ่มที่เกิน 20 ปีขอเวลาไปพิจารณาความแตกต่างจะต้องไปนั่งคิดกันอีกครั้งหนึ่ง วันนี้ได้รับความเห็นชอบในหลักการสำหรับเฟสที่3 ซึ่งแต่ละคนก็ได้รับมอบหมายงานไปทำจากนี้
โดยนายกรัฐมนตรีเป็นห่วงในเรื่องของความผิดพลาดในการจ่ายเงิน ที่ผ่านมา เกิดความผิดพลาดจึงได้เห็นควรให้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 1 ชุด? ดูแลจากความผิดพลาดในอดีต ด้วยการจ่ายเป็นดิจิทัลจะทำให้ลดลงได้ โดยเงินที่จ่ายคาดว่าจะอยู่ในช่วงปลายไตรมาส 2 หรือช่วงต้นไตรมาส 3 เพราะเห็นว่าเป็นช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม หลังจากดูความคุ้มค่าของเม็ดเงิน เป็นการวางพื้นฐานดิจิทัลสำหรับอนาคต
และสำหรับกลุ่มที่ไม่มีโทรศัพท์ หากใครจะมาลงทะเบียนก็จะใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับอนาคตด้วย ประชาชนจะเชื่อมกับรัฐบาลได้จะเป็นเรื่องที่ดี แปลว่าเป็นการวางรากฐานการใช้ดิจิทัลให้กับประชาชนทั้งประเทศได้ ในการจัดเก็บรายได้ หรือการจ่ายภาษี การใช้ดิจิทัล ถือเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจให้กับประเทศ
ด้านในจุลพันธ์ กล่าวว่า การกระทรวงการคลังตอบคำถามถึงกรณีผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน จะมีการลงทะเบียนทั้งหมด แต่ ไม่ใช่เฉพาะสำหรับโอนเงิน 10,000 บาท เท่านั้นแต่ข้อมูลจะนำไปใช้ประโยชน์ในการช่วยเหลือประชาชนในโอกาสต่อๆไปอย่างตรงจุดและตรงเป้า ซึ่งการลงทะเบียนในครั้งนี้อยากให้ประชาชนไปลงทะเบียนให้ได้มากที่สุดเพื่อเป็นฐานข้อมูลให้รัฐบาลสามารถเดินหน้า
เศรษฐกิจดิจิทัลได้ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องก้าวไปสู่การเป็นสังคมดิจิทัลให้กับประชาชนที่ยังเข้าไม่ถึง กระบวนการในการลงทะเบียนจะใช้ระบบของธนาคารของรัฐเป็นผู้รวบรวมโดยให้ประชาชนเข้าไป ลงทะเบียนที่ธนาคาร โดยจะมีการประชุมเตรียมการในส่วนของธนาคารให้มีความเรียบร้อยและจะสามารถลงทะเบียนได้
ด้านนายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ธนาคารของรัฐที่จะเป็นผู้รับลงทะเบียนประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนนั้น จะใช้ธ.ก.ส. ธอส. ออมสินและธนาคารอิสลาม ร่วมกับไปรษณีย์ไทย ในการลงทะเบียนพี่น้องประชาชนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน โดยจะมีการตรวจสอบว่าเป็นผู้ไม่มีสมาร์ทโฟนจริงหรือไม่ด้วยมีการประสานกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือตรวจสอบ โดยกรอบระยะเวลาในการลงทะเบียนรัฐบาลจะดูในช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม และจะต้องไม่ทำให้เกิดความสับสนกับโครงการอื่นๆของรัฐบาล
อย่างไรก็ตามมีการตั้งคำถามว่าที่รัฐบาลเลือกจ่ายดิจิทัล ให้กับกลุ่มอายุ 16-20 ปีจำนวน 2.7 ล้านคนเป็นเพราะรัฐบาลไม่มีงบประมาณ นายเผ่าภูมิปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริงเพราะรัฐบาลเวลาจะใส่เม็ดเงินลงไปในระบบจะมีการพิจารณา ตามภาวะเศรษฐกิจที่เหมาะสมปัจจุบันเห็นว่าในช่วงไตรมาส 1 มองว่า เศรษฐกิจยังอยู่ในระดับดีและช่วงไตรมาส 2 ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และเศรษฐกิจไทยปลายไตรมาส2และในช่วงต้นไตรมาส 3 จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของเศรษฐกิจ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เม็ดเงินเข้าไปในระบบ
เพื่อให้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจที่จำเป็น และยืนยันได้ว่ารัฐบาลมีการกันเม็ดเงินสำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจไว้แล้ว 1.5 แสนล้านบาท มีช่วงเวลาที่ใช้จนถึงไตรมาส 3 ปีนี้ ตามเงื่อนไขของงบประมาณ ยืนยันว่ามีกระสุนเตรียมไว้เพียงพอรัฐบาลจะกันไว้ใช้ในช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมและที่เลือกกลุ่มอายุดังกล่าวเพราะเป็นกลุ่มที่มีการใช้ดิจิทัลค่อนข้างสูงมีความตื่นรู้ในเรื่องของเทคโนโลยีสูง มีความสามารถในการใช้จ่ายในระบบสูง ด้วยจำนวนเม็ดเงินที่เหมาะสมด้วยคนและเม็ดเงินที่เหมาะสมรัฐบาลจึงเลือกช่วงเวลาและกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มแรก
ยืนยันได้ว่าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมาทั้งเฟส1และเฟส2 สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดีและโครงการล่าสุดจะสามารถช่วยให้เม็ดเงินหมุนเวียนได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น เพราะมีกลไกในการตรวจสอบโดยกรอบเวลาจะเข้านำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อไหร่นั้นขอให้มีการพิจารณาในช่วงเวลาที่เหมาะสม
ยืนยันว่ารัฐบาลมีเม็ดเงินในระบบเพียงพอสำหรับการเติมเงินให้กับประชาชนในเฟสที่ 4 เพราะที่ผ่านมารัฐบาลดำเนินการมาทั้ง 2 เฟสเชื่อว่าเห็นผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจสุดท้ายเงินจะต้องถึงมือประชาชน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





